
สถานที่ตั้ง
ตั้งอยู่ที่ บ้านนาหลวงเสน หมู่ที่ 6 ตำบลนาหลวงเสน อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช โดยสามารถเดินทางจากเส้นทางถนนเข้า
เมืองทุ่งสงสายในตรงข้ามกับสวนหลวง ร.5 ทุ่งสง ตรงไปเลี้ยวซ้ายผ่านวัดเขาปรีดี แล้วเลี้ยวขวาตรงไปตามถนนก็จะถึงวัดสำโรง
(ซึ่งใช้เวลาประมาณ 5 นาทีในการเดินทาง)
ที่อยู่ของวัด บ้านนาหลวงเสน หมู่ที่ 6 ตำบลนาหลวงเสน อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช 80110
นิกาย สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย
ประเภทวัด วัดราษฎร์
ได้รับอนุญาตตั้งเป็นวัด : เมื่อปีพุทธศักราช 2470
ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา : เมื่อวันที่ 30 ธันวาคม ปีพุทธศักราช 2518
(พระสังฆาธิการ), ม.ป.ป.)
เจ้าอาวาส พระบุญส่ง กต ปุญโญ (รักษาการเจ้าอาวาส)
(สุวิทย์ คงหอม, 2568)
ประวัติวัด
แต่เดิมพื้นที่บริเวณนี้เป็นวัดร้าง ต่อมาจึงได้ตั้งเป็นวัดเขาสำโรง (วัดเขาโหฺมฺรง) เมื่อราว 70 ปีที่ผ่านมา (พระครูรัตนพิศาล : ให้
สัมภาษณ์ 2529) วัดแห่งนี้มีลายแทงปริศนาโบราณความว่า
“วัดโหฺมฺรง ยังมีถ้ำช้าง ทั้งลึกทั้งกว้างได้ 15 วา มีรอยมีกูบ มีรูปคชา วัดเข้าสามศอก วัดออกสามวา มีพระปัญญา ผินหน้าลงตก”
(ชุมทางประวัติศาสตร์ทุ่งสง, ม.ป.ป.)
มีคำบอกเล่าและข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับประวัติความเป็นมา โบราณวัตถุ และสถานที่สำคัญของวัดสำโรงที่ตำบลนาหลวงเสน อ.ทุ่งสง
จ.นครศรีธรรมราช พบว่า
ประวัติการสร้างวัดสำโรงสามารถสรุปได้ 3 ประเด็น คือ
1.วัดสำโรงสร้างขึ้นหลังจากสร้างวัดพระบรมธาตุวรมหาวิหารนครศรีธรรมราชไม่นาน ถ้าเป็นการสร้างในยุคนี้ก็จะมีอายุราว
800-1,000 ปี
2.วัดสำโรงสร้างสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเถลิงถวัลยราชสมบัติ เป็นปฐมกษัตริย์
แห่งราชวงศ์จักรี ซึ่งถ้ามีการสร้างสมัยนี้ก็น่าจะมีอายุราว 250 ปี
3.วัดสำโรงอาจจะสร้างหลังการสร้างวัดพระบรมธาตุวรมหาวิหารนครศรีธรรมราชไม่นาน ต่อมาอาจจะมีการปล่อยทิ้งร้างทำให้
สภาพวัดเสื่อมโทรม จึงได้บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่ในคราวการเสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติของรัชกาลที่ 1 ซึ่งถ้าเป็นไปได้ดังที่กล่าวมา
วัดสำโรงอาจสร้างมานานประมาณ 800-1,000 ปี
ซึ่งจากการรวบรวมคำบอกเล่าและข้อสันนิษฐานนี้ไม่อาจชี้ชัดยืนยันได้ว่าวัดสำโรงมีการสร้างขึ้นสมัยใด หากมีการหาความจริงให้
ปรากฎก็จะต้องมีการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อที่จะนำมาเทียบเคียงกับการเล่าสืบต่อกันมาว่าตรงกัน
หรือไม่
(กิตติศักดิ์ และคณะ, 2563, น. 22)
การสร้างวัดสำโรงมีจุดประสงค์สำคัญประการหนึ่ง ก็เพื่อให้เป็นศูนย์กลางเป็นสัญลักษณ์แห่งความมีอารยธรรมของชุมชน ซึ่งใน
พื้นที่ภาคใต้ของประเทศไทยมีความเจริญรุ่งเรืองทางพระพุทธศาสนาที่สันนิษฐานว่าเข้ามาพร้อมกับการเดินทางติดต่อค้าขายของ
พ่อค้าชาวอินเดีย นับตั้งแต่สมัยศรีวิชัย ลังกาสุกะ และ ตามพรลิงก์ มาจนกระทั่งปัจจุบัน อิทธิพลความคิดความเชื่อพระพุทธศาสนา
ในภาคใต้ มีลักษณะความเชื่อเรื่องอำนาจเหนือธรรมชาติ กลายเป็นรากฐานในวิถีการดำรงชีวิตของผู้คนในพื้นที่ภาคใต้ ปรากฎสิ่งที่
แสดงออกถึงความเชื่อความศรัทธาในพระพุทธศาสนา มีการสร้างวัดเป็นจำนวนมาก วัดที่สำคัญและเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของผู้คน
ในภาคใต้ นับแต่อดีตจนกระทั่งปัจจุบัน เช่น วัดพระมหาธาตุวรมหาวิหารจังหวัดนครศรีธรรมราช ซึ่งถ้าหากวัดสำโรง ตำบลนาหลวง
เสน อ.ทุ่งสง จ.นครศรีธรรมราช มีการก่อสร้างคราวเดียวกันกับวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร ก็จะเป็นสถานที่ทรงคุณค่าทั้งทาง
ประวัติศาสตร์ ศิลปะ และ โบราณคดี เป็นจุดศูนย์กลางของชุมชน ส่งผลให้ชุมชนยึดวัดสำโรงเป็นที่พึ่งทางใจ มีหลักยึดเหนี่ยว จนเห็น
ความสัมพันธ์ทางประวัติศาสตร์ระหว่าง วัดกับชุมชน ซึ่งความสัมพันธ์ดังกล่าวตั้งอยู่บนรากฐานแห่งวัฒนธรรม ประเพณี และ
พิธีกรรมทางศาสนา ที่มีรากฐานมาจากหลักคำสอนทางพระพุทธศาสนาและยังคงรักษาความเชื่อมั่นอยู่ได้ไม่เปลี่ยนแปลง
(กิตติศักดิ์ และคณะ, 2563, น. 21-22)
พื้นที่ต่างๆ ภายในวัดสำโรง
“ภูเขาหินปูน” ที่ภายในมีถ้ำและโบราณวัตถุหลายอย่างตั้งแต่ครั้งในอดีตกาล โดยมีการสร้างบันไดจากพื้นดินสำหรับขึ้นไปจำนวน
47 ขั้น เพื่อขึ้นไปถึงบริเวณดังกล่าว
“อุโบสถ” ตั้งอยู่บริเวณด้านหน้าของวัดมีความสวยงามวิจิตรด้วยศิลปะการตกแต่งที่ดูเด่นเป็นสง่า เมื่อมองจากถนนจะมีทิวทัศน์ของ
ภูเขาด้านบนที่ส่งให้อุโบสถสวยมากยิ่งขึ้นอีก
“ศาลาพระครูรัตนพิศาล หลวงปู่แก้ว พ่อท่านแก้ว วัดสำโรง” เป็นศาลาที่ประดิษฐานรูปปั้นของพระครูรัตนพิศาล อดีตเจ้าอาวาส
วัดสำโรงไว้เพื่อให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชา ตั้งอยู่บริเวณกลางวัด ด้านหลังเป็นหนองน้ำของวัดสำโรง
“ศาลาพ่อท่านคล้าย หลวงปู่ทวด” เป็นอีกสถานที่หนึ่งที่มีไว้ให้พุทธศาสนิกชนได้กราบไหว้บูชาเช่นกัน ตั้งอยู่บริเวณหน้าภูเขาที่จะขึ้น
ไปยังถ้ำ ตัวศาลานั้นจะปลูกไว้บนผืนน้ำ ซึ่งเป็นน้ำที่ต่อจากหนองน้ำภายในวัด
“หนองน้ำวัดสำโรง” เป็นโครงการชลประทานที่ไหลผ่านวัดสำโรง จึงทำให้วัดสำโรงมีพื้นที่ของหนองน้ำเล็กๆ บริเวณหน้าถ้ำ ที่ช่วย
เพิ่มความสวยงามและเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจมากขึ้น



ลักษณะเด่น
หลักฐานทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญของทางวัด ที่อยู่บริเวณของภูเขาหินปูน คือ
“ถ้ำช้าง” บริเวณที่เรียกว่าถ้ำช้างนั้นพบว่า ถ้ำแห่งนี้เป็นถ้ำอยู่ในภูเขาหินปูน อยู่สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 30-40 เมตร
หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ โดยทางขึ้นมีถ้ำมีสภาพเป็นเพิงหิน ภายในถ้ำแบ่งออกเป็น 2 ส่วน รายละเอียดดังนี้
1. ห้องทางด้านทิศตะวันตก เป็นห้องโล่งๆ ตัวถ้ำกว้างประมาณ 30 เมตร ลึกประมาณ 7-9 เมตร ลักษณะของเพดานถ้ำโค้ง
พื้นถ้ำมีความลาดเอียงจากด้านเหนือลงมาด้านใต้ พบเศษภาชนะดินเผาเล็กน้อย
2. ห้องทางด้านทิศตะวันออก เป็นห้องที่เชื่อมต่อจากห้องแรก โดยทางเชื่อมเป็นทางลาดลงมาทางทิศตะวันออก
ห้องนี้จึงมีระดับต่ำกว่าห้องแรก ลักษณะเพดานถ้ำโค้งยาวประมาณ 15 เมตร กว้างประมาณ 5 เมตร และลึกประมาณ 37 เมตร
พื้นถ้ำมีความเรียบมากกว่าถ้ำแรก พบเศษหินปูนกระจายอยู่ทั่วไปและพบเศษภาชนะดินเผาประปราย พบโบราณวัตถุประเภทต่างๆ
ดังนี้ คือ
- เศษภาชนะดินเผา เนื้อหยาบ เผาด้วยอุณหภูมิต่ำ มีทั้งแบบผิวเรียบ แบบลายเชือกทาบ และ ลายกดประทับ
- เศษภาชนะดินเผาเคลือบเขียวไข่กา
- พระพุทธรูปศิลปพม่าสมัยหลัง ทำด้วยหินขาว (alabaster) ประดิษฐานไว้ในศาลาการเปรียญในปัจจุบัน
ปัจจุบันถ้ำช้างนัั้น ทางวัดได้ทำบันไดทางขึ้นถ้ำ เพื่ออำนวยความสะดวกในการขึ้นไปชมภายในถ้ำ และบริเวณลานเพิงผาปากถ้ำได้มี
การลาดปูนซีเมนต์และมีพระพุทธรูปประดิษฐานอยู่

“ถ้ำเสือ” จะอยู่เลยจากพระบรรทมไป ตรงไปแล้วขึ้นบันไดพญานาคไป หน้าปากถ้ำจะมี “พระพุทธรูปกับ รูปปูนปั้นเสือดำ”
อยู่หน้าถ้ำ

“ถ้ำผี” จะอยู่เลยจากทางขึ้นบันไดพญานาคไปอีกนิด ตรงมุมสุดให้เดินตรงไปตามทาง ก่อนทางจะขึ้นไปยังถ้ำจะมี “ก้อนหินสีดำ”
ทรงแปลกเป็นสัญลักษณ์อยู่ที่ปากถ้ำ

สิ่งสำคัญที่ค้นภายในถ้ำโดนคาดการณ์ว่าก่อนประวัติศาสตร์, อยุธยา, รัตนโกสินทร์ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1. เศษภาชนะดินเผา เนื้อหยาบ เผาด้วยอุณหภูมิต่ำ มีทั้งแบบผิวเรียบ แบบลายเชือกทาบ และลายกดประทับ
2. ชิ้นส่วนขาหม้อสามขา
3. เศษภาชนะดินเผาเคลือบเขียวไข่กา
4. กระดูกและฟันสัตว์
5. พระพุทธรูปศิลปพม่าสมัยหลัง ทำด้วยหินขาว (alabaster) ประดิษฐานไว้ในศาลาการเปรียญในปัจจุบัน
6. พระไสยาสน์ ปูนปั้น ทาสีทอง ยาว 9.70 เมตร สูง 2.40 เมตร หนา 1.50 เมตร หันพระเศียรไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้
ผินพระพักตร์ไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ประดิษฐานบริเวณเพิงผาใกล้ถ้ำช้าง
ประวัติการอนุรักษ์
พ.ศ. 2529 โครงการโบราณคดีประเทศไทย (ภาคใต้) สำรวจ
พ.ศ. 2552 วันที่ 10 กุมภาพันธ์ สำนักศิลปากรที่ 14 นครศรีธรรมราช ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบขุดดินและหินในถ้ำใกล้ถ้ำช้างเพื่อ
พัฒนาเป็นแหล่งท่องเที่ยว
(ชุมทางประวัติศาสตร์ทุ่งสง, ม.ป.ป.)
โบราณวัตถุที่สำคัญ
จากคำบอกเล่าของผู้รู้ และผู้ที่เกี่ยวข้องทำให้พบว่า ภายในบริเวณวัดสำโรงมีโบราณวัตถุมากมาย ได้แก่ พระบรรทม พระปัญญา
พระพุทธรูปปางต่างๆ รูปปั้นปู่เจ้าสมิงพราย ภาพปูนปั้นวิหารพระทรงม้า รวมถึงเศษภาชนะดินเผาและเศษชิ้นส่วนของสัตว์หลาย
ชนิด ดังรายละเอียด
1.รูปปั้นยักษ์ สันนิษฐานว่าสร้างมานานแล้ว มีลักษณะรูปร่างสีเขียว ประดิษฐานบริเวณเพิงผา ประวัติการสร้างไม่ทราบแน่ชัด
แต่ชาวบ้านที่นับถือมีความเชื่อว่ายักษ์จะปกปักรักษาพระบรรทม
2.พระบรรทมหรือพระไสยาสน์ ปูนปั้น ทาสีทอง ยาว 9.70 เมตร สูง 2.40 เมตร หนา 1.50 เมตร หันพระเศียรไปทางทิศตะวันออก
เฉียงใต้ ผินพระพักตร์ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือ ประดิษฐานบริเวณเพิงผา
3.พระปัญญา มีรูปร่างลักษณะปูนปั้นสีทอง ยาว 1.50 เมตร สูง 1 เมตร หนา 50 เซนติเมตร ผินพระพักตร์ไปทางหน้าพระบรรทม
ประดิษฐานบริเวณเพิงผา ประวัติการสร้างไม่มีการระบุที่ชัดเจนว่าสร้างในสมัยใดแต่สันนิษฐานว่าสร้างพร้อมกับพระบรรทม
4.พระพุทธรูปปางต่างๆ มีลักษณะรูปร่างสีทอง ประดิษฐานบริเวณเพิงผา เพื่อให้ชาวบ้านได้สักการบูชา
5.ปูนปั้นพระทรงม้า ปูนปั้นมีรูปร่างแบบเดียวกับวัดพระมหาธาตุวรมหาวิหาร จึงสันนิษฐานว่า ช่างได้ไปเห็นที่วัดพระธาตุเลยนำ
แบบมาสร้างที่วัดสำโรงด้วย
6.รอยพระพุทธบาทจำลอง เป็นรอยพระพุทธบาทที่จำลองขึ้น มีเสาและมีหลังคาครอบคลุมอยู่รอบรอยพระพุทธบาท ตั้งอยู่ใกล้กับ
“รูปปั้นของปู่เจ้าสมิงพราย”
7.ปู่เจ้าสมิงพราย มีลักษณะรูปร่างปูนปั้นสีขาว ยาว 1 เมตร สูง 1 เมตร หนา 50 เซนติเมตร ประวัติการสร้างได้มีชาวบ้านที่นับถือ
เขาสำโรง ได้สร้างปู่เจ้าให้มาปกปักรักษาชาวบ้านและภูเขาสำโรง
8.ของใช้โบราณ ที่สร้างขึ้นมาจากดินเผา ขัดด้วยหินทรายอ่อน สันนิษฐานว่า ได้มีการนำมาไว้ที่วัดสำโรงพร้อมกับการสร้างวัด
(กิตติศักดิ์ และคณะ, 2563, น. 19)







ด้วยคำร่ำลือในการเป็นสถานที่ที่มีประวัติศาสตร์ที่แสดงถึงศิลปวัฒนธรรมท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่ยาวนานของ
อำเภอทุ่งสง จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่ได้ถ่ายทอดออกมาปรากฎอยู่ ณ วัดแห่งนี้ ทำให้ในปัจจุบันในแต่ละวันจึงมีผู้คนแวะเวียนมา
เพื่อกราบสักการะพระพุทธรูปปูนปั้นบนด้านบนของถ้ำกันอย่างมากมาย และผู้เขียนในฐานะเป็นชาวอำเภอทุ่งสงคนหนึ่ง ก็รู้สึกมี
ความภาคภูมิใจที่อำเภอทุ่งสงมีแหล่งเผยแพร่ขนบธรรมเนียมประเพณีอันดีงามและวิถีชีวิตที่ตกทอดกันมายาวนาน อันคู่ควรกับการ
อนุรักษ์ไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ชื่นชมในความเป็นไทยของเรายิ่งนัก
ข้อมูลอ้างอิง
กิตติศักดิ์ แสงทอง, พุธวิมล คชรัตน์, ทัศนีย์ ศรีราม, ณัฏฐิกา สาทิพจันทร์ และ สุธารินี บุญกิจ. (2563). ประวัติศาสตร์ชุมชน: วัด
สำโรงจากการบอกเล่า = A CommunityHistory: Oral History of Wat Samrong. สืบค้นเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2568.
file:///D:/Users/Admin/Downloads/warapornnoosong,+%7B$userGroup%7D,+4-54-77%20(1).pdf
ชุมทางประวัติศาสตร์ทุ่งสง. (ม.ป.ป.). ประวัติวัดสำโรง. สืบค้นเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์
2568.https://www.tungsong.com/museum/2_3.htm
พระสังฆาธิการ. (ม.ป.ป.). วัดสำโรงได้รับอนุญาตตั้งเป็นวัดและได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา. สืบค้นเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์
2568. จาก https://www.sangkhatikan.com/wat_view.php?ID=วัดสำโรง%20(นศ.)
สุวิทย์ คงหอม. (2568). ข้อมูลเจ้าอาวาสวัดสำโรง. ผู้ให้ข้อมูล
Views: 368