วรรณกรรมเยาวชน : หนังสือดีที่ทุกคนอ่านได้

วรรณกรรมเยาวชน : หนังสือดีที่ทุกคนอ่านได้

วรรณกรรมเยาวชน หมายถึง  วรรณกรรม หรือหนังสือที่ให้ความเพลิดเพลินสนกสนาน โดยไม่บังคับอ่าน มีเนื้อหาตรงกับความสนใจ รูปเล่มสวยงาม สะดุดตาน่าอ่าน (รัญจวน อินทรกำแหง 2524, 100)  และมีเหตุผลดีดีที่เราควรส่งเสริมให้เยาวชนได้อ่าน วรรณกรรมเยาวชน ที่เลือกสรรมาให้ ดังที่รัถพร ซังธาดา (2531, 6-7) ได้เหตุผลดังนี้

1.       ช่วยให้เกิดความพร้อมในการอ่าน

2.       ช่วยให้อ่านหนังสือได้คล่องแคล่วแตกฉาน

3.       ช่วยเสริมทักษะในการอ่านซึ่งเป็นสื่อนำไปสู่การแสวงหาความรู้ ประสบการณ์ต่าง ๆ

4.       ช่วยให้ได้รับความบันเทิงเพลิดเพลินใจ

5.       ช่วยเสริมสร้างบุคลิกลักษณะ นิสัย ค่านิยม ทัศนคติ คุณธรรม จริยธรรม และวัฒนธรรมอันดีงามให้กับเยาวชน

6.       ให้สาระ ความรู้ ความคิด และคำอธิบายเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่ถูกต้อง

7.       ช่วยลับสมองและส่งเสริมเชาวน์ปัญญา

8.       ช่วยให้เยาวชนเข้าใจตนเอง เข้าใจผู้อื่น เข้าใจสิ่งแวดล้อม และสิ่งที่ผ่านมาในอดีต

 

9.       ช่วยให้เกิดโลกทรรศน์กว้างไกล มีความรอบรู้ ทันโลกทันเหตุการณ์

10.   ช่วยเสริมสร้างให้เยาวชนมีความรู้สึกมั่นคงในชีวิต มีความหวงในชีวิต มองเห็นทางออกของปัญหา

11.   ช่วยเสริมสร้างให้มีนิสัยรักการอ่าน อ่านหนังสือเป็น และใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์

12.   ช่วยสนองความต้องการและความสนใจของเยาวชน

13.   ถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมและสร้างศรัทธาในเอกลกษณ์ของชาติให้แก่เยาวชน

14.   ช่วยให้เห็นคุณค่าของความเป็นชาติและสถาบันที่สำคัญของชาติ

15.   ช่วยเสริมสร้างจินตนาการให้กับเยาวชน

16.   เป็นแหล่งบันดาลใจให้เยาวชนเกิดวามคิดริเริ่มสร้างสรรค์

 

งั้นลองมาสำรวจชั้นหนังสือวรรณกรรมเด็กและเยาวชนที่เราได้เลือกมาให้อ่านกัน  พร้อมทั้งส่งต่อความรู้สึกดีดีที่อ่านแล้วจะได้อะไรจากการอ่านกัน 

วรรณกรรมเยาวชนที่ทุกคนอ่านได้ มีเรื่องอะไรบ้างมาดูกัน

ชีวิตมหัศจรรย์ของออกัสต์

เรื่องราวของเด็กชายชื่อ ออกัสต์ ที่เกิดมามีความผิดปกติทางใบหน้า ทำให้เขาต้องรับการผ่าตัดตั้งแต่เด็ก รวมก็กว่ายี่สิบครั้ง แต่เด็กชายก็สู้จนหมอยังทึ่งเพราะคิดว่าเขาไม่น่ารอดมาได้ ออกัสต์เป็นเด็กฉลาดแม้จะเรียนกับแม่ที่บ้านเพียงอย่างเดียวก็ตาม แต่แล้ววันหนึ่ง จู่ ๆ แม่ก็บอกออกัสต์ว่าอยากให้เขาไปโรงเรียน ออกัสต์ไม่ชอบพบคนแปลกหน้าแม้จะชินที่มีคนมองหน้าเขาแล้วก็ตาม แต่สุดท้ายออกัสต์ก็ตกลงไปโรงเรียน แล้วนั่นก็ทำให้เด็กชายได้พบกับคนที่เป็นเพื่อนและไม่อยากเป็นเพื่อน ซึ่งถือเป็นเรื่องมหัศจรรย์ในชีวิตของเขา

เรื่องนี้ ทำให้เรามองเห็นความเป็นชุมชนกรุณาว่า มาจากระบบความสัมพันธ์ที่ผู้คนเรียนรู้ถึงความกล้าหาญในการทำสิ่งที่ถูกต้อง พ่อแม่ของออกัสต์กล้าที่จะนำพาลูกของตนเองได้มีชีวิต อย่างเปิดเผย ออกัสต์กล้าหาญและเข้มแข็งที่จะมีชีวิตในโลกที่ดูน่ากลัว คุณครูในโรงเรียนกล้าและรักเด็ก ทุกคนมากพอที่จะเคารพหลักการ ถือประโยชน์สังคมมากกว่าอคติของตนเอง พร้อมกับความเปิดกว้างใน จิตใจที่พร้อมเปิดรับความแตกต่าง ความอึดอัด ยากเผชิญสิ่งไม่คุ้นเคย ความเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ ในเรื่องราวของผู้อื่น ชุมชนกรุณาไม่ได้มาจากเพียงแค่การมีเมตตา มีทัศนคติเชิงบวกเท่านั้น แต่ต้องการ การเรียนรู้ “เรียนรู้ และร่วมสร้างสรรค์ชุมชนกรุณา”

อ่านแล้ว ส่งต่อความรู้สึก

เด็กชายนกและช่างต่อโลง

อัลเบอร์โตเป็นช่างต่อโลงศพฝีมือดี เพียงคนเดียวในเมืองอัลลอรา ที่มีครอบครัวที่อบอุ่น อัลเบอร์โตมีลูก 3 คน เป็นครอบครัวที่สดใส และความวุ่นวายของเด็ก ๆ ในครอบครัว แต่แล้วความสุขที่พวกเขามีก็มีได้เพียงแค่ 7 ปีเท่านั้น เพราะโรคร้ายที่มาเยือนนั่นเอง โรคระบาดได้คร่าชีวิตทุกคนในบ้าน อัลเบอร์โตใช้ชีวิตที่เหลือหลังสูญเสียทุกคนครอบครัวและผู้คนไปเกือบทั้งหมู่บ้าน ไปกับการต่อโลงให้ลูกค้า วันละคนสองคน แต่ละวันเขาเฝ้ารอวันที่โรคร้ายพรากครอบครัวเขาไปนั้นมารับเขาไปด้วย แต่ทว่าวันนั้นยังไม่มาถึง ขณะที่วันเวลาล่วงผ่าน อัลเบอร์โตได้ทำโลงศพให้หญิงกึ่งนิรนามนางหนึ่งชื่อมิสโบนิโต ซึ่งการจากไปของมิสโบนิโตนี้เอง ที่นำพาเด็กชายวัยกำลังซนกับนกประหลาดที่สีขนสดใสราวกับนกยูงเข้ามาในชีวิตเขา อัลเบอร์โตเรียนรู้จะสมานบาดแผลจากการสูญเสียภรรยาและลูก ๆ พร้อม ๆ กับเรียนรู้ที่จะเปิดใจสัมผัสความรักและความห่วงใยที่มีให้เด็กชายผู้นี้ ติโต เมื่อทุกอย่างกำลังไปได้ดี กลับมีชายประหลาดท่าทางน่ากริ่งเกรงเข้ามา หมายจะพาติโตกลับไปให้ได้ ท้ายที่สุดแล้วทั้งช่างต่อโลง เด็กชาย และนกประหลาดจะหนีเงื้อมมือของชายน่ากลัวผู้นี้ได้หรือไม่ 

เด็กชายนกและช่างต่อโลง
อ่านแล้ว ส่งต่อความรู้สึก

ต้นส้มแสนรัก

เป็นเรื่องราวของ โจเซ่ หรือ เซเซ่ เด็กน้อย ผู้มี “ต้นส้ม” เป็นเพื่อน เป็นสมบัติล้ำค่า และ เป็นความหวังสุดท้ายในชีวิตของเขา เกิดในครอบครัวที่ยากจน มีพี่น้องหลายคน ด้วยความที่เขาดื้อและซน ชอบก่อเรื่องไม่เว้นแต่ละวัน ชอบแกล้งคนอื่นเขา จึงทำให้เขาโดนทำโทษแรง ๆ อยู่บ่อยครั้ง ทำให้เขาอดคิดไม่ได้ว่าไม่มีใครรักเขา เพราะเขาเป็นส่วนเกินของครอบครัว เขาจึงสร้างโลกส่วนตัวของเขาขึ้นมาคือโลกแห่งความฝัน ที่ทำให้เขามีความสุขอยู่ตามประสาเขา เพราะเขาไม่ใช่คนที่มีเพื่อนมาก ทุกคนต่างคิดว่าเขาคือเด็กแสบที่สร้างความเดือดร้อนให้กับพวกเขา ซึ่งทุกคนต่างก็เอือมระอา เด็กน้อยฉลาดเกินวัย จินตนาการของเขาคือเกราะป้องกันชั้นดีจากความทุกข์ยากรอบตัว ต่อมาครอบครัวของเซเซ่ได้ย้ายบ้านใหม่ จึงได้พบกับต้นส้มต้นหนึ่งซึ่งพูดได้ที่บ้านหลังใหม่หลังจากที่ทั้งครอบครัวต้องย้ายจากบ้านหลังเก่าที่ค้างค่าเช่ามานาน ต้นส้มก็กลายเป็นเพื่อนสนิทของเซเซ่ ได้ในเวลาไม่นาน และทำให้เขาได้เพื่อนใหม่ที่รู้ใจที่สามารถพูดคุยและเป็นเพื่อนเล่นกับเขาได้ยามที่เขามีเรื่องไม่สบายใจหรือถูกกักบริเวณไม่ให้ออกไปข้างนอก ทุกเรื่องที่พูดคุยกันได้ทำให้เขามีความสุขมาก โลกแห่งจินตนาการเปี่ยมไปด้วยความสดใสแห่งชีวิตของวัยเด็ก แต่อีกไม่นานเมื่อเขาต้องรับรู้ว่าเพื่อนที่ดีที่สุดของเขาต้องจากเขาไปตลอดกาล โลกที่สดใดของเขาพลันดับลง เขารู้สึกเจ็บปวดและเสียใจกับการจากลาในครั้งนี้

จากคำบอกเล่าของพี่ชาย เซเซ่รู้ว่า พ่อตกงานมานานกว่า 6 เดือนแล้วแม่ต้องไปทำงานในโรงงานทอผ้า พี่สาวก็ต้องออกไปทำงานที่โรงงาน เช่นเดียวกับพี่ชายก็ต้องไปเป็นเด็กช่วยงานในพิธีสวดมิสซาหาเงินมาจุนเจือค่าใช้จ่ายในครอบครัวเหมือนกัน

 ครอบครัวที่เต็มไปด้วยความยากลำบาก และ ความยากจน ทำให้เซเซ่ ต้องเอาตัวเองมาอยู่ในโลกแห่งจินตนาการจนกระทั่งเขาได้พบกับเพื่อนต่างวัย ที่ทำให้เซเซ่ รู้สึกว่าชีวิตของตนเองกำลังจะมีความหวังอีกครั้ง แต่ก็นั่นแหละ ชีวิตมักมีบททดสอบกับเราเสมอ 

อ่านแล้ว ส่งต่อความรู้สึก

ตาผมเป็นต้นเชอร์รี่

 โตนีโน่ มีปู่ย่าตายายทั้งหมดสี่คน เป็นปู่ย่าชาวเมืองสองคน และมีตากับยายอาศัยอยู่ในชนบท เลี้ยงห่านกับไก่ โตนีโน่จะได้เจอตากับยายเดือนละครั้งสองครั้ง ทั้งคู่น่ารัก ตากับยายนี่เองที่เป็นโลกใบใหญ่อีกใบหนึ่งของเขา โลกที่มีความมหัศจรรย์มากมายให้เรียนรู้ มีสิ่งเล็ก ๆ มากมายให้สัมผัส ช่วงเวลาที่ได้ไปอยู่บ้านตากับยายกลายเป็นเวลาพิเศษในชีวิตของเขา 

หลังจากยายเสียชีวิต ตาก็ยังอาศัยอยู่ที่บ้านในชนบท ยังคงปลูกผักเหมือนเดิม ตาเลิกเลี้ยงไก่ ในสวนของตามีต้นเชอร์รี่อยู่ตรงมุมระหว่างถนนกับลานบ้าน ตามักจะไปอยู่ใต้ต้นเชอร์รี่นาน ๆ พอว่างจากสวนผักและต้องการพักผ่อน

วันเกิดครบหกขวบของโตนีโน่ ตามาร่วมงานวันเกิดของเขาและพาเขากลับยังบ้านที่ชนบทด้วย เขาอยู่กับตาเป็นเวลาหนึ่งเดือน ตาก็สอนให้ทำอะไร ๆ ได้หลายอย่าง วันหนึ่งเมื่อลูกเชอร์รี่สุก ตาไปเอาบันไดมาพาดไว้กับลำต้นแล้วให้โตนีโน่ปีนขึ้นไปบนกิ่งแรกและให้นั่งรอตา แล้วตาก็ขึ้นตามไปแล้วก็สอนให้เขาเก็บลูกเชอร์รี่ โตนีโน่รู้สึกสนุกมากจนไม่อยากลงไปเลย ภายในเวลาหนึ่งสัปดาห์เขาก็ปีนขึ้นปีนลง ปีนไปจนถึงกิ่งสูง ๆ ได้ แม่ตกใจมากเมื่อรู้ว่าเขาปีนไปเก็บลูกเชอรี่

วันคริสต์มาสตามาหาโตนีโน่ที่โรงเรียน และไปกินอาหารเที่ยงที่บ้านของเขา แม่อนุญาตให้เขาไปบ้านตาสองวัน หลังจากนั้นตาไม่สบายเข้าโรงพยาบาล ออกจากโรงพยาบาลก็มาพักฟื้นที่บ้านของเขา ตาเริ่มป่วยหนักมากต้องไปรักษาที่คลินิกแห่งหนึ่งเป็นเวลาสี่เดือน ครั้งหนึ่งเขากับแม่ไปเยี่ยมตา ตานั่งข้างหน้าต่าง มือวางบนตัก สายตาทอดออกไปข้างนอก ร่างกายซูบผอม มือสั่น วันที่ 28 กันยายน ตาเสียชีวิต หลังจากนั้นพ่อกับแม่แยกกันอยู่ ต้นเดือนมิถุนายน โตนีโน่กับแม่ย้ายไปอยู่บ้านไร่

อ่านแล้ว ส่งต่อความรู้สึก

ชาร์ล็อตต์ แมงมุมเพื่อนรัก

เป็นเรื่องราวของวิลเบอร์ เจ้าหมูที่เกิดมาตัวเล็กและไม่แข็งแรง วิลเบอร์เกือบถูกฆ่าทิ้งเพราะไม่คุ้มที่จะเลี้ยง แต่ในที่สุดวิลเบอร์ก็รอดตายมาได้ เพราะการช่วยเหลือของเฟิร์น เด็กผู้หญิงผู้มีจิตใจดีงาม เฟิร์นช่วยวิลเบอร์เอาไว้จากการถูกฆ่า คอยดูแลป้อนนม เลี้ยงดูวิลเบอร์ วิลเบอร์มีความสุขที่ได้อยู่กับเฟิร์น ได้มีช่วงเวลาดีๆ ด้วยกัน แต่ในที่สุดก็ต้องขายวิลเบอร์ไปให้ลุงโฮเมอร์ วิลเบอร์จึงต้องย้ายไปอยู่ในโรงนาของครอบครัวซัคเกอร์แมน ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กับบ้านของเฟิร์น 

เมื่อย้ายไปอยู่ที่ใหม่ วิลเบอร์ได้รู้จักกับสมาชิกสัตว์ที่อาศัยอยู่ในโรงนา เฟิร์นก็ตามมาคอยเฝ้าดูวิลเบอร์เสมอๆ และวันหนึ่งวิลเบอร์ได้รู้จักกับชาร์ล็อตต์ ซึ่งเป็นแมงมุมสาวที่อาศัยอยู่ในโรงนา ชาร์ล็อตต์จิตใจดี คอยดูแล ให้กำลังใจวิลเบอร์ให้ผ่านพ้นปัญหาต่างๆ ไปได้ คอยช่วยเหลือแนะนำวิลเบอร์ ไม่ว่าวิลเบอร์จะมีปัญหาอะไร ชาร์ล็อตต์จะคอยอยู่เคียงข้าง และช่วยหาวิธีแก้ปัญหาให้เสมอ นอกจากชาร์ล็อตต์ ก็ยังมีเทมเปิลตัน เจ้าหนูนิสัยแย่ ที่คอยช่วยเหลือ ทั้งชาร์ล็อตต์และเทมเปิลตัน รวมทั้งสมาชิกสัตว์ในโรงนา ช่วยกันหาวิธีให้วิลเบอร์ผ่านพ้นจากการถูกฆ่าเพื่อนำมาเป็นอาหาร ถึงแม้สุดท้ายชาร์ล็อตต์จะต้องตาย แต่สิ่งดีๆ ที่ชาร์ล็อตต์ทำก็จะยังคงอยู่ในใจของวิลเบอร์ตลอดไป

ชาร์ล็อตต์ แมงมุมเพื่อนรัก

ความสุขของกะทิ

ความสุขของกะทิเป็นเรื่องราวเรียบง่ายของเด็กผู้หญิงที่ชื่อกะทิ กะทิเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่อาศัยอยู่กับตาและยาย กะทิมีวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ไปโรงเรียน ช่วยตายายทำงานบ้าน ตายายชอบทำบุญตักบาตร กะทิก็ได้ทำบุญพร้อมกับตายาย ตาเป็นคนอารมณ์ดี ตายายใจดีและรักกะทิมาก ถึงแม้กะทิจะมีความสุขที่ได้อยู่กับตายาย แต่ใจลึกๆ ก็คิดถึงแม่ เวลาที่ฟ้าร้อง ฝนตก ยายต้องเข้ามานอนกอดกะทิ และลูบหลังให้จนกะทิหลับ กะทิใช้ชีวิตประจำวันผ่านไปเรื่อยๆ ในแต่ละวัน ควบคู่ไปกับความรู้สึกคิดถึงแม่ที่แอบซ่อนในใจ ในชีวิตของกะทินอกจากตายาย ก็ยังมีพี่ทองที่กะทิสนิทด้วย และชอบคุยด้วย เพราะพี่ทองอารมณ์ดี ใครอยู่ใกล้ก็มีความสุข ภายใต้ความเรียบง่ายธรรมดา กะทิก็เหมือนเด็กคนอื่นๆ ที่อยากเจอแม่ อยากอยู่กับแม่ อยากให้แม่มารับที่โรงเรียน อยากไปไหนมาไหนกับแม่ ถึงแม้กะทิจะคิดถึงแม่ แต่กะทิไม่เคยพูดออกมาเพราะไม่อยากให้ตายายไม่สบายใจ

วันหนึ่งกะทิก็ได้ไปเจอแม่สมใจ กะทิรู้จากตาว่าแม่ป่วย และกะทิมีสิทธิ์เลือกเองว่าจะอยากไปเจอแม่หรือไม่ กะทิได้เจอแม่ ได้รับรู้ถึงอาการป่วยของแม่ แม่เป็นโรคเอแอลเอส หรือ เอ็มเอ็นดี โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง รอบตัวแม่มีน้าฎาและน้ากันต์คอยดูแล ทุกๆคนพยายามปกป้องกะทิ ไม่อยากให้รับรู้ถึงความโศกเศร้าที่กำลังเผชิญอยู่ เพราะแม่มีเวลาเหลือน้อยเต็มที ทุกคนพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทุกอย่างปกติดี กะทิได้คุยกับแม่ใช้เวลาร่วมกับแม่ บอกเล่าเรื่องราวในชีวิตของกะทิ ชื่อของกะทิคือ ณกมล แปลว่า แห่งหัวใจ กะทิได้รู้เรื่องราวในอดีตของตัวเองก่อนที่จะมาอยู่กับตายาย กะทิได้ใช้เวลาอยู่กับแม่จนถึงวินาทีสุดท้ายในชีวิตแม่ ถึงแม้จะเศร้าแต่ทุกคนรวมทั้งกะทิก็ต้องมีชีวิตต่อไป แม่จากกะทิไปแล้ว แต่กะทิยังมีพ่อ กะทิไม่รู้เหตุผลที่พ่อกับแม่แยกทางกัน แต่แม่ก็เตรียมจดหมายไว้ให้ เพื่อให้กะทิส่งถึงพ่อเป็นอีกครั้งที่กะทิต้องเลือกว่าอยากจะเจอพ่อหรือไม่ กะทิต้องตัดสินใจเอง

ความสุขของกะทิ ตอน ในโลกใบเล็ก

กะทิโตเป็นสาวน้อยแล้ว หลังจากที่กะทิตัดสินใจไม่ส่งจดหมายหาพ่อ กะทิก็กลับมาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในโลกใบเล็กของกะทิ ที่แวดล้อมไปด้วยคนที่รักกะทิ กะทิมีความสุขดีในโลกใบเล็กของตัวเอง จนกระทั่งกะทิได้รับจดหมายจากพ่อ กะทิถึงได้รับรู้ว่าตัวเองมีน้องสาวชื่อน้องมะลิ และน้องมะลิกำลังป่วยหนักต้องการความช่วยเหลือจากกะทิ ทุกคนรอบข้างไม่เห็นด้วยที่กะทิต้องเสียสละ ยอมเจ็บตัว แต่กะทิสงสารน้องและอยากเจอน้อง กะทิต้องเดินทางไปหาพ่อ ไปหาน้อง กะทิได้เจอน้อง และรู้สึกผูกพันธ์อยากจะช่วยเหลือ แต่ก็ไม่ทัน กะทิเสียใจกับการจากลาเป็นครั้งที่2 ผ่านเรื่องราวเศร้าเสียใจ แต่ชีวิตกะทิยังต้องไปต่อ กะทิกลับมาอยู่ในโลกใบเล็กของตัวเอง หลังจากพ่อจัดการเรื่องราวทุกอย่างเรียบร้อย พ่อเขียนจดหมายมาหากะทิ และเดินทางมาหากะทิที่เมืองไทย เพราะทุกคนรักกะทิ พยายามปกป้องกะทิจึงพยายามปิดบัง ทำให้กะทิเสียใจ เรื่องราวทุกอย่างคลี่คลาย กะทิได้เจอพ่อ และได้ใช้เวลากับพ่ออีกครั้ง ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนช่วงเวลาที่ขาดหาย เพราะความไม่เข้าใจ เพราะการสื่อสารที่ไม่ชัดเจนทำให้พ่อกับแม่ต้องแยกทางกัน ในวันนี้กะทิได้รู้ความจริงทั้งหมด กะทิทำใจยอมรับได้ ไม่โทษใคร ไม่เสียใจอีกแล้ว เพราะกะทิรู้ว่าทุกคนรักกะทิ โลกใบเล็กของกะทิยังคงสงบสุขและสวยงาม เต็มไปด้วยความรัก ความอบอุ่นเหมือนเดิม

ความสุขของกะทิ ตอน ตามหาพระจันทร์

กะทิกลับมาใช้ชีวิตปกติของตัวเองหลังจากที่แม่ตาย ทุกคนพยายามไม่พูดถึงแม่ เพราะไม่อยากย้ำเตือนเรื่องแม่ให้กะทิรู้สึกเศร้า แต่ทุกคนทำผิดพลาด เพราะยิ่งไม่พูดถึง กะทิกลับยิ่งนึกถึงแม่ แต่ไม่รู้วิธีที่จะระบายออกมา กลายเป็นความเก็บกดในจิตใจ ยิ่งมีเรื่องที่เข้ามาแย่งความสนใจจากทุกคนไปจากกะทิ กะทิยิ่งรู้สึกแย่ และแสดงพฤติกรรมไม่ดีออกมา กะทิรู้สึกไม่ดีกับตัวเอง แต่ไม่รู้วิธีที่จะระบายความรู้สึกออกมา ไม่รู้จะหันหน้าไปคุยกับใคร เมื่อมีเหตุการณ์ที่ทำให้ความรู้สึกในใจระเบิดออกมา ทุกๆ คนรอบตัวจึงได้หันกลับมาคิดทบทวนใหม่ และปรับวิธีในการรับมือกับอารมณ์ของกะทิใหม่ กะทิได้กลับไปที่บ้านของแม่อีกครั้ง ได้กลับไปรับรู้เรื่องราวบางอย่าง มีบางเรื่องที่แม่ยังติดค้างและอยากให้กะทิช่วยสานต่อ กะทิได้รับรู้เรื่องราวของแม่เพิ่มเติม ได้เติมเต็มความรู้สึกบางอย่าง และรู้สึกโชคดีที่ตัวเองได้รับความรักอย่างมากมายจากทุกๆ คนรอบๆ ตัว กะทิได้ทำภาระกิจที่แม่ฝากไว้สำเร็จ กะทิก็ยังคงใช้ชีวิตของตัวเองที่บ้านริมคลองต่อไป เหงาบ้าง เศร้าบ้าง แต่กะทิก็เข้าใจว่ามันเป็นปกติของชีวิต

ความสุขของกะทิ ตอน ตามหาพระจันทร์
อ่านแล้ว ส่งต่อความรู้สึก

วินนี่ เดอะ พูห์

เรื่องราวของคริสโตเฟอร์ โรบิน และผองเพื่อน ประกอบด้วย วินนี่เดอะพูหมีโพลา อียอร์เจ้าลาเฒ่า แกงกาและเบบี้รูจิงโจ้คู่แม่ลูก พิกเล็ทเจ้าหมูน้อยแสนวุ่นวาย อาวล์นกฮูกแสนฉลาด แร๊บบิทกระต่ายน้อย

คริสโตเฟอร์ โรบิน และวินนี่เดอะพู เป็นเพื่อนกัน ถึงแม้เขาจะบอกว่า พูเป็นหมีสมองน้อย แต่เขาก็รักพูมาก พูเป็นหมีขี้ลืม และรักการกินน้ำผึ้งมาก น้ำผึ้งเป็นของโปรดของพู เพราะอยากได้น้ำผึ้ง บางครั้งพูต้องลงทุนหาอุบายหลอกบรรดาผึ้ง เพื่อจะเอาน้ำผึ้งมา 

ระหว่างที่พูไปหาเพื่อนๆ ก็มักจะมีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นเสมอ พูไปหาแร๊บบิท ก็กินเยอะ จนตัวติดที่โพรงกระต่าย จนต้องรอให้ผอมถึงจะออกมาได้

พูไปหาพิกเล็ท ก็พากันเดินวนเวียนหาตัววูเซิล วนแล้ววนเล่าก็ไม่เจอ ระหว่างพูกับพิกเล็ทมีเรื่องวุ่นๆ เกิดขึ้นมากมาย ไม่ว่าจะไปตามหาเฮฟฟาลัมพ์ ขโมยเบบี้รูจากแกงกา และให้พิกเล็ทปลอมตัวเป็นเบบี้รู จนวันหนึ่งน้ำท่วม พูก็แสดงความกล้าหาญไปช่วยพิกเล็ทจากภาวะน้ำท่วมใหญ่

ถึงแม้พูจะมีแต่เรื่องวุ่นๆ แต่ในแง่มุมที่ดี พูก็มีน้ำใจช่วยอียอร์หาหางจนเจอ อียอร์น่าสงสารเพราะชอบคิดว่าไม่มีใครรักไม่มีใครสนใจ พูและพิกเล็ทพยายามช่วยให้อียอร์มีเรื่องราวดีๆ สร้างความรู้สึกดีๆ ให้กับอียอร์ 

อ่านแล้ว ส่งต่อความรู้สึก

เจ้าชายน้อย

เจ้าชายน้อยคือบันทึกการบันทึกการพบกันของผู้เขียนกับเด็กชายตัวน้อยผู้มาจากดาวดวงอื่น ทั้งสองพบกันโดยบังเอิญในทะเลทรายซาฮารา เครื่องบินของผู้เขียนไปตกที่นั่น เจ้าชายน้อยเองก็จับพลัดจับผลูไปโผล่ในทะเลทรายเมื่อเดินทางมาเยือนโลก เจ้าชายน้อยมาจากดาวบี 612 เขาตัดสินใจหนีจากดอกกุหลาบที่เขารักมาเพราะว่าเธอนั้นโอ้อวดหลงตนของดอกกุหลาบที่เค้าหลงรรักไม่ไหว ความจู้จี้จุกจิกของเธอทำให้เขาทรมาย เมื่อจากเขามา เจ้าชายน้อยท่องเที่ยวไปตามดวงดาวต่างๆ พบผู้คนมากมาย แต่ก็ยังไม่เจอใครที่จะให้เขาคบหาเป็นเพื่อได้เลย ในที่สุดเขาก็เดินทางมายังโลกมนุษย์ และมาพบผู้เขียน ทั้งสองกลายเป็นเพื่อนกันในช่วงที่ติดอยู่ในทะเลทราย ผู้เขียนค่อยๆรับรู้เรื่องราวการเดินทางของเจ้าชายน้อยผ่านการสนทนากัน ผ่านไป 6 ปี เขาตัดสินใจรวบรวมเรื่องราวของเจ้าชายน้อยมาเขียนลงบันทึกเพื่อจะได้ไม่ลืมเพื่อนคนสำคัญคนนี้

เจ้าชายน้อย
อ่านแล้ว ส่งต่อความรู้สึก

เด็กชายในชุดนอนลายทาง

เป็นเรื่องราวของมิตรภาพอันสวยงามของเด็กชายทั้ง 2 คนที่สถานะต่างกันสุดขั้ว แต่ความงดงามในจิตใจไม่ได้โหดร้ายเหมือนเหตุการณ์ที่ผู้ใหญ่กำหนดให้เกิดขึ้น

บรูโน เด็กชายชาวเยอรมันอายุประมาณ 9 ขวบ เติบโตในครอบครัวนาซี เด็กชายได้รับการปลูกฝังค่านิยมเกี่ยวกับสงคราม ศาสนา เชื้อชาติ แต่เด็กชายไม่เข้าใจเรื่องความแตกต่างพวกนั้นเนื่องจากความไร้เดียงสา เด็กชายสนใจแต่เรื่องอยากวิ่งเล่นเหมือนเด็กทั่วไป สิ่งที่สนใจคือเรื่องการผจญภัย บรูโนอยากเป็นนักสำรวจ อยากออกไปใช้ชีวิต และเมื่อได้พบกับชมูเอล เด็กชายชาวยิวที่อาศัยอยู่อีกด้านของรั้ว บรูโนเกิดความอยากรู้อยากเห็น และแอบไปเล่นพูดคุยกับเพื่อนคนนี้เกือบปี

บรูโนและชมูเอล เกิดในวันเดียวกัน แต่ชีวิตของทั้ง 2 แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง บรูโน มีชีวิตที่ปลอดภัยอยู่ในครอบครัวที่มีพ่อเป็นนายทหารชั้นผู้ใหญ่ ในขณะที่ชมูเอล อยู่ในค่ายกักกันในฐานะชาวยิว ความแตกต่างของเด็กทั้ง 2 คน เนื่องจากต้นกำเนิดของมนุษย์ที่แตกต่างกัน ไม่สามารถเลือกเกิดได้ แต่เด็กชายทั้ง 2 ไม่เข้าใจความแตกต่างที่เกิดขึ้น พวกเขามีความคิดคล้ายกันคือการได้เล่น อยากผจญภัยไปด้วยกัน ในความคิดของเด็ก ไม่มีค่านิยม แนวคิด ความเชื่อต่างๆ นอกจากความสุขเล็กๆ น้อยๆ ของตัวเอง แตกต่างจากผู้ใหญ่ ที่แบ่งพรรคแบ่งพวก ผู้ที่มีความคิดแตกต่างจากตนเป็นอันตรายและต้องกำจัดทั้ง

ต่อมา ครอบครัวของบรูโน ต้องย้ายกลับเยอรมนี บรูโนรู้สึกเศร้าที่ต้องจากเพื่อน จึงไปรอชมูเอลที่ริมรั้วเพื่อพบกัน และทำอะไรร่วมกันอีกสักครั้งก่อนจากกัน ชมูเอลเล่าถึงพ่อที่หายตัวไปจากค่าย บรูโนเห็นเพื่อนเศร้า ก็เศร้าตาม จึงอาสาลอดรั้วเข้าไปตามหาพ่อของชมูเอลในค่ายกักกัน เด็กชายถอดชุดไว้ที่ริมรั้วและเปลี่ยนมาสวมชุดนอนลายทางเหมือนชมูเอล เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในค่ายกักกันสร้างความหวาดกลัวให้กับบรูโนเป็นอย่างมาก แต่บรูโนยังมีชมูเอลคอยจับมืออยู่ข้างๆ บรูโนจึงคลายความกังวลใจไปได้ หลังจากนั้น เด็กชายทั้ง 2 ถูกต้อนเข้าห้องรมแก๊ส บรูโนและชมูเอล ต่างบอกอีกฝ่ายว่า เป็นเพื่อนที่ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองเคยมีมา หลังจากนั้นไม่มีใครพบบรูโนอีกเลยนอกจากเสื้อผ้าที่เค้าถอดทิ้งไว้ที่ริมรั้ว

อ่านแล้ว ส่งต่อความรู้สึก

โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง

โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงจอมซนที่คุณครูขอร้องให้ออกจากโรงเรียนเนื่องจากเธอชอบเปิดปิดโต๊ะเรียนเสียงดัง และชอบยืนอยู่ข้างหน้าต่างคุยกับคนที่ถนนด้านล่าง โชคดีที่โต๊ะโตะมีแม่ที่น่ารัก พาโต๊ะโตะไปเข้าเรียนที่โรงเรียนโทโมเอมีห้องเรียนเป็นตู่รถไฟ โต๊ะโตะตื่นเต้นมาก ที่นี่จะไม่มีการบังคับเรียน ครูปล่อยให้หนูน้อยเล่าเรื่องอย่างเพลิดเพลิน ที่นี่จะสอนให้เด็กซนที่หลุดกรอบเป็นปกติ สอนให้เด็กรักโรงเรียน รักเพื่อน สอนให้เด็กมีมารยาทสอดแทรกวิธีคิด ความคิดลึกซึ้ง ในโรงเรียนนี้เด็กๆจึงเฮฮาร่าเริง ได้ทั้งทำนา ทำครัว ปลูกผัก กางเต้นท์ อาหารมื้อเที่ยง จะได้เด็กเตรียมมาจากบ้าน แต่มีกฎว่า ต้องมีต้องมีอาหารทะเล คืออาหารจากปลา หรืออาหารทะเล และอาหารภูเขา คือพืชผัก เนื้อสัตว์นั่นเอง ถ้านักเรียนคนไหนมีไม่ครบ ภรรยาครูใหญ่จะจัดเพิ่มให้เด็ก โต๊ะโตะจัง โชคดีที่ได้เรียนโรงเรียนนี้ ที่มีครูเข้าใจเธอ เธอได้เรียนรู้ ได้สร้างจินตนาการ จนเธอเติมโตมา เป็นนักข่าวที่สร้างสรรค์ผลงานไว้มากมาย

หนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่แค่บรรยายชีวิตเด็กน้อยคนหนึ่งเท่านั้น แต่ได้เห็นความน่ารัก ความไร้เดียงสา ความเข้าอกเข้าใจของคุณแม่ คุณครู และเพื่อนๆ ยังให้ข้อคิด แนวคิด บทบาทของพ่อแม่ในการเลี้ยงดูลูก และบทบาทของครูในวิธีการสอนกับนักเรียน ที่สำคัญครูใหญ่สามารถทำให้เด็กที่ไม่มีใครยอมรับอย่างโต๊ะโตะ ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น รับรู้คุณค่าในตัวเอง การปรับตัวเข้ากับอะไรใหม่ๆ ทำให้โต๊ะโตะ เป็นเด็กที่น่ารัก มีความคิดสร้างสรรค์ และประสบความสำเร็จในชีวิต อีกเรื่องราวที่กล่าวถึงในหนังสือเล่มนี้ คือ เรื่องราวเกี่ยวกับสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ถ่ายถอดผ่านมุมมองของเด็ก ทำให้ได้เห็นเรื่องราวของผลกระทบจากสงคราม ผ่านสายตาของเด็กหญิงโต๊ะโตะ

โต๊ะโตะจัง เด็กหญิงข้างหน้าต่าง
อ่านแล้ว ส่งต่อความรู้สึก

บันทึกมูมิน

คุณพ่อมูมินป่วยเป็นไข้หวัดจนต้องนอนซมอยู่บนเตียง และช่วงนี้เองที่คุณพ่อมูมินเกิดตระหนักขึ้นมาว่านักผจญภัยมือหนึ่งผู้มีประสบการณ์แสนจะโชกโชนและสนุกสนานอย่างเขา กลับไม่เคยบันทึกวีรกรรมใดๆให้ลูกหลานและเด็กๆ ทั้งหลายในหุบเขามูมินได้รับรู้เลย ไม่ใช่แค่คุณพ่อมูมินเท่านั้น พ่อของสนิฟและสนัฟกิ้นก็เข้ามามีบทบาทในการผจญภัยด้วย แน่ละว่าลูกๆ ทั้งสามต่างก็ต้องอ้าปากค้างเมื่อได้ฟังวีรกรรมของคุณพ่อทั้งสามในวัยหนุ่มทั้งบนบก บนอากาศ ใต้น้ำ บนเกาะ ในเรือ ในสวนสนุก บนชายหาด กลางป่า รวมทั้งงานเลี้ยงประหลาดของพระราชาผู้ไม่สมกับเป็นพระราชา ฯลฯ ซึ่งล้วนแต่พิจารณาได้ว่า มิหาใดเปรียบได้อีกแล้ว (ตามสำนวนของคุณพ่อมูมิน) แต่ที่สำคัญ (และสุดซาบซึ้ง) เห็นจะเป็นตอนที่คุณแม่มูมินผู้ไร้เทียมทานและวิเศษสุด โผล่เข้ามาในฉาก ทำให้คุณพ่อมูมินสามารถจบบันทึกได้อย่างสวยงามและสมบูรณ์แบบ

มนตร์มูมิน

ความปั่นป่วนอันแสนสุขจากหมวกหนึ่งใบ มูมินหนึ่งตัว และเพื่อนฝูงอีกมากมาย ภาคต่อจากเรื่อง “ดาวหางในเมืองมูมิน”

 ในฤดูใบไม้ผลิ ณ หุบเขามูมิน มูมินโทรล, สนิฟ และสนัฟกิ้นบังเอิญเจอหมวกปริศนาใบหนึ่งบนยอดเขา มันดูสวยดีและคล้ายๆ หมวกคุณพ่อมูมิน พวกเขาจึงนำหมวกใบนั้นกลับบ้าน แต่ไม่นานก็พบว่ามันไม่ใช่หมวกธรรมดา แต่เป็นหมวกของปีศาจฮ็อบก็อบลิน ที่ทำให้หุบเขามูมินตกอยู่ในมนตราบางอย่าง และหมวกประหลาดใบนี้ยังเปลี่ยนอะไรต่อมิอะไรได้อีกมากมาย แม้กระทั่งพ่อหนุ่มมูมินโทรลตัวอวบของเรา ยังกลายร่างเป็นผอมเพรียวลงได้ถนัดตา

เรื่องเล่าจากหุบเขามูมิน

เรื่องเล่าจากประชากรในหุบเขามูมินที่ดันเกิดเรื่องวุ่นวายของตัวเองขึ้นพร้อมๆ กัน ความปั่นป่วนของประชากรในหุบเขามูมินที่ต้องช่วยกันหาวิธีทำให้ตัวละครล่องหนที่ชื่อ “นินนี่” ไม่หายตัวไปตลอดกาล แถมยังมีเรื่องวุ่นๆ อีกมากมาย ทั้งเรื่องที่มูมินโทรลดันไปจับมังกรตัวสุดท้ายในโลกได้ หรือความลับของแฮตตี้แฟตเทนเนอร์ แถมคุณพ่อมูมินดันมาเกิดวิกฤตวัยกลางคนขึ้นอีก ดูเหมือนจะไม่มีใครไม่มีเรื่องวุ่นเป็นของตัวเองเลย 

หุบเขามูมิน เป็นที่อาศัยของสิ่งมีชีวิตนานาชนิด บ้างก็ไปๆ มาๆ บ้างก็อยู่ประจำ บางชนิดก็จำแนกประเภทไม่ได้ว่าคืออะไร และก็ล้วนแต่มีบุคลิกลักษณะและนิสัยเฉพาะตัว นั่นทำให้เรื่องราวต่างๆ ในหุบเขาแห่งนี้มีความประหลาดมหัศจรรย์ แม้แต่ในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของสิ่งมีชีวิตที่เล็กน้อยที่สุด เป็นความประหลาดมหัศจรรย์ที่คล้ายๆ จะเหนือจริง

พฤศจิกายนในหุบเขามูมิน

วันหนึ่งในเดือนพฤศิจกายน จู่ๆ ผองเพื่อนทั้งหลายของครอบครัวมูมินที่อยู่ตามที่ต่างๆ ต่างก็รู้สึกเบื่อหน่าย รู้สึกเศร้าหมอง รู้สึกไม่มีกะจิตกะใจจะทำอะไร รู้สึกไม่มีพลังสร้างสรรค์ ในภาวะแบบนี้ พวกเขาต้องนึกถึงครอบครัวหนึ่ง ครอบครัวที่เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา ครอบครัวที่มีเรื่องสนุกๆ เกิดขึ้นตลอดเวลา ครอบครัวที่อบอุ่น เพราะมีคุณแม่มูมินที่เด็กทุกคนถวิลหา ครอบครัวที่แค่นั่งมองพวกเขา เราก็เกิดความคิดใหม่ๆ ขึ้นมา ราวกับว่า พวกเขาไม่ต้องทำอะไรเลย แค่เป็นตัวของตัวเอง แล้วทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นรอบตัวก็ผ่านไปได้อย่างดี ครอบครัวมูมินเป็นอย่างนี้เสมอมา แต่แล้ววันหนึ่ง เมื่อใครสักคนและหลายคน เรียกร้องหาครอบครัวมูมิน พวกเขาต่างเก็บข้าวของเร่งออกเดินทาง ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขาผิดหวังแต่ยังเชื่อมั่นและทำดีที่สุดตามแบบของตัวเอง และบ้างก็แบบที่เชื่อว่าคุณแม่มูมินจะทำ ถ้าเธออยู่ที่นี่ 

นี่คือเล่มสุดท้ายของหนังสือชุดมูมิน และเป็นตอนอวสานที่จบแบบไม่คาดฝัน แต่ไม่ผิดหวังแน่ๆ ความสุขความฝันในนั้นจบสิ้นลงแล้ว หุบเขามูมินยังคงเป็นสถานที่แห่งความสุขสนุกสนานของเด็กๆ เด็กทุกคนต้องเติบโตและเข้าสู่โลกแห่งความจริงด้วยตัวเอง หุบเขามูมินยังคงเป็นสถานที่ที่เข้าไปเยี่ยมเยียนได้ชั่วครั้งชั่วคราว เพราะมันยังเป็นสถานที่แห่งความสุข เพียงแต่ไม่มีใครจะได้เจอครอบครังมูมินอีกต่อไปแล้ว 

ฤดูร้อนมูมิน

มื่อเกิดภัยธรรมชาติรุนแรงขึ้น ในฤดูร้อนที่มูมินควรได้นอนสบาย การผจญภัยที่สนุกสนานและคาดไม่ถึงจึงเกิดขึ้น เมื่อพายุพาน้ำเข้ามาท่วมหุบเขามูมิน บ้านของเขาจมอยู่ใต้น้ำจนต้องขึ้นไปใช้ชีวิตบนหลังคา น้ำพัดพาสัตว์ต่างๆ มาอยู่ร่วมบ้าน และนิสัยแปลกประหลาดของพวกเขาก็ทำให้เกิดเรื่องสนุกสนานตามมามากมาย มีบ้านประหลาดลอยตามน้ำมา คุณแม่ มูมินอพยพครอบครัวและเพื่อนใหม่ลงไปลอยคออยู่ในบ้านลอยน้ำหลังนั้น ซึ่งมีของประหลาดๆ เต็มไปหมด เมื่อทั้งหมดทำท่าจะปรับตัวได้ มูมินกับสาวสนอร์กก็ปีนขึ้นไปนอนบนต้นไม้ และถูกน้ำพัดลอยหายไป

คุณแม่ มูมิน รู้ในเวลาต่อมาว่าบ้านที่เธออพยพเข้าไปอยู่ที่แท้ก็คือเวทีละครนั่นเอง และในเมื่ออาศัยอยู่บนเวทีที่มีผู้กำกับละครติดมาด้วย การเปิดแสดงละครกลางน้ำจึงเริ่มขึ้น ท่ามกลางความวุ่นวายต่างๆ นานา ระหว่างนี้ ในที่อื่นๆ ของหุบเขามูมินก็มีเรื่องราวต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย มูมินลอยหายไป สนัฟกิ้น เพื่อนรักของมูมินก็กำลังเดินทางมา (แม้จะเจออุปสรรคระหว่างทางบ้างเล็กน้อย) แต่ในที่สุด เรื่องก็จบลงด้วยดี พร้อมกับละครที่เริ่มแสดงและจบลงแบบกระท่อนกระแท่นเต็มที

อ่านแล้ว ส่งต่อความรู้สึก

ไดอารี่ของเด็กไม่เอาถ่าน

เป็นเรื่องราวในชีวิตประจำวันของ เกร็ก เฮฟฟลีย์ เด็กผู้ชายวัยมัธยมต้นคนหนึ่งที่มีความคิดความอ่านเหมือนดั่งเด็กมัธยม เขามักจะชอบอะไรหรือไม่ชอบอะไร และอยากมี อยากเป็น ตามแบบของเด็กวัยรุ่นทั่วไป ที่ในแต่ละวันเขาพบเจอกับอะไร เกร็กบันทึกเรื่องราวของเขาทั้งที่บ้าน ที่โรงเรียน เรื่องเพื่อน กิจกรรมต่าง ๆ ที่เขาทำ ได้อย่างน่าขันโดยที่ตัวเองไม่ได้ตั้งใจ แต่ละเรื่องต่างลงท้ายด้วยความปวดหัวปนขำ พลิกชีวิตประจำวันอันน่าเบื่อของเด็กชายวัยมัธยมคนหนึ่งให้เป็นเรื่องที่สนุกสนาน รู้สึกอย่างไรก็จะนำมาเขียนเล่าลงไดอารี่เล่มนี้ ให้เราได้อ่านถึง ความตลก ความรั่ว ความฮา และวีรกรรมที่เขาสร้างเอง และที่คนอื่นสร้างให้ ผ่านตัวละครต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตของเกรก  พร้อมรูปประกอบน่ารัก ๆ ที่มาช่วยตอกย้ำความฮาในทุกหน้าและทุกเหตุการณ์ของเกร็ก ครอบครัว และเพื่อน

ไดอารี่ของเด็กไม่เอาถ่าน
อ่านแล้ว ส่งต่อความรู้สึก

เด็กสาวจากดาวใส

เรื่องราวของสตาร์เกิร์ล เด็กสาวที่เคยเรียนแต่โฮมสกูลมาโดยตลอด เข้ามาเรียนมัธยมเกรด 10 ด้วยภาพลักษณ์ที่แตกต่างจากคนทั่วไป ทั้งการแต่งตัว การพกพิณมาโรงเรียน การพาเจ้าหนูตัวเล็กๆ ใส่ย่ามลายดอกทานตะวันซึ่ งบางครั้งก็ไต่ปีนขึ้นมาบนบ่า การดีดพิณร้องเพลงสุขสันต์วันเกิดให้กับทุกคนในโรงเรียนในช่วงพักเที่ยง 

แล้ววันหนึ่ง ความประหลาดของเธอเป็นที่ประทับใจ เธอกลายเป็นคนดังในโรงเรียน เป็นที่ยอมรับ ทุกคนเลียนแบบเธอ ชื่นชมเธอ อยากพูดคุยกับเธอ อยากเข้าใกล้เธอ ถึงอย่างนั้น สตาร์เกิร์ลก็ยังคงเป็นสตาร์เกิร์ล ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป แม้กระทั่งต่อมาเมื่อเธอไม่เป็นอย่างที่คนอื่นคาดหวัง ทุกคนรังเกียจเธอ ไม่มีใครยอมพูดคุยด้วย เกิดสงครามเงียบๆ ทั้งโรงเรียน เธอก็ยังคงเป็นสตาร์เกิร์ล ทำตัวเหมือนเดิมทุกอย่าง ราวกับว่าไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนไป และทุกคนไม่ได้ทำเรื่องร้ายกาจกับเธอ

เพียงคนเดียวที่ทำให้ สตาร์เกิร์ลยอมเปลี่ยนเปลงตัวเอง ไปอย่างที่เธอไม่เคยเป็น เขาคือลีโอ เด็กหนุ่มขี้อายผู้กำกับรายการ “สุดฮอต” ของโรงเรียน แต่ถึงเธอจะพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเอง ให้เป็นเช่นเดียวกับคนอื่น เธอก็ยังไม่ได้รับการยอมรับ

เด็กสาวจากดาวใส
อ่านแล้ว ส่งต่อความรู้สึก

มิโล แมวน้อยกระโดดไม่เป็น

มิโล เป็นแมวดำที่เกิดข้างถนนความโดดเดี่ยว ที่มีอาการของสมองน้อยไม่เจริญ ทำให้การเคลื่อนไหวผิดปกติ เดินซิกแซ็ก หกล้มง่าย สั่นกระตุก และกระโดดไม่เป็น แถมเป็นแมวดำที่ยังมีคนคิดว่านำโชคร้ายมาให้ แต่เจ้าเหมียวก็ไม่ยอมแพ้ ทำให้มันต้องรีบเป็นผู้ใหญ่แม้ภายนอกมันจะดูเปราะบาง คืนหนึ่ง ท่ามกลางพายุฝน มันตัดสินใจออกผจญภัย และได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่ง ซึ่งอาจรอมันอยู่เหมือนกัน เธอทำให้มันรู้จักความหมายของคำว่า “บ้าน” ช่วยมันเอาชนะอุปสรรคต่าง ๆ ด้วยความรักและความอดทน ตั้งใจจะสอนให้มันกระโดด นอกจากนั้น มันยังได้พบเพื่อนใหม่มากมาย ทั้งนกนางนวล แมงป่อง เม่น ปู วัว และสุนัข เพื่อนเหล่านี้ทำให้มันรู้ว่า เราสามารถเปลี่ยนความเปราะบางให้เป็นพลังได้ เจ้าแมวน้อยก็คิดว่า พิการหมายถึงพิเศษ จึงมุ่งมั่นตั้งใจจะเป็นซูเปอร์ฮีโร่ให้ได้

มิโล
อ่านแล้ว ส่งต่อความรู้สึก

เราทุกคนล้วนมีร้านเวทมนตร์อยู่ในใจ

“จิม โดตี้” เด็กชายที่เติบโตในทะเลทรายของแคลิฟอร์เนีย ในครอบครัวที่ที่ใกล้ล่มสลาย มีพ่อติดเหล้า แม่เป็นโรคซึมเศร้าและอัมพาต ในวันหนึ่งที่ชีวิตมืดแปดด้าน เด็กชายจิมในวัย 12 ปี เดินเข้าไปในร้านขายของมายากลแห่งหนึ่งเพื่อซึ้อปลอกนิ้วพลาสติก แต่กลับได้พบกับผู้หญิงคนหนึ่งนามว่า “รูธ” ผู้สอนเทคนิคให้เขาก้าวข้ามความเจ็บปวด และใช้พลังของสมองและหัวใจเปลี่ยนชีวิตให้พบสิ่งมหัศจรรย์ จนจิมได้กลายมาเป็นศาสตราจารย์และแพทย์ที่มีชื่อเสียง ของมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด เมื่อสมองและหัวใจสอดประสาน ปาฏิหาริย์ใดก็เป็นจริงได้

อ่านแล้ว ส่งต่อความรู้สึก

วรรณกรรมเยาวชน ที่เน้นวิถีชีวิตในชนบทในแง่มุมต่าง ๆ

วรรณกรรมแนวนี้จะมีหลากหลายเรื่องราว แง่มุม ให้แนวคิดและสภาพของวิถีชีวิตแต่ละอาชีพ แต่ละท้องถิ่น และวัฒนธรรมของไทย ถึงแม่เนื้อหาจะเหมือนเก่า แต่ให้แง่คิดหลากหลายให้เยาวชนรุ่นหลังได้รับรู้และซึมซับได้

ชนบทที่รัก

ชนบทที่รัก เป็นวรรณกรรมเยาวชนที่เคยสร้างเป็นละครโทรทัศน์ช่อง 7 เป็นเรื่องราวของเด็ก ๆ ในชนบทภาคใต้ของไทย โดยเน้นการละเล่นพื้นบ้านและแทรกวัฒนธรรมประเพณีท้องถิ่น เพื่อถ่ายทอดให้ผู้อ่านทั้งเด็กและผู้ใหญ่สนุกสนานและประทับใจความเป็นอยู่แบบไทย และช่วยกันอนุรักษ์ให้คงอยู่สืบไป

ที่ลานดินในหมู่บ้านมีเด็ก ๆ มาวิ่งเล่นกันพร้อมหน้าพร้อมตา ทั้งจุก จอม เปี๊ยก จ้อย แสง และสา ในมือของสาถือลูกฟุตบอลยางพลาสติกสีแดงมาด้วย แล้วเด็ก ๆ ก็เริ่มเล่นฟุตบอลกันโดยแบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายจนเหนื่อยจึงนั่งพัก พอหายเหนื่อยจึงชวนกันหาเกมเล่นกันต่อชื่อว่า ‘เกมม้าหางแดง’ ต้องจับคู่กันและแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย แต่ละคู่ต้องจับไม้สั้นไม้ยาวกัน จับได้ไม้สั้นเป็นม้า จับได้ไม้ยาวเป็นผู้ขี่หลังม้า และจะเริ่มโยนลูกบอลกัน หรือบางทีอาจจะใช้ลูกตะกร้อที่สานด้วยใบมะพร้าวใส่ดินทรายไว้ข้างในพอขว้างปาได้ให้กับพวกฝ่ายของตนซึ่งขี่อยู่บนหลังม้า โดยโยนรับกันไปมาอย่าให้ตกลงพื้น ถ้าลูกบอลตกลงพื้นผู้ขี่หลังม้าต้องรีบกระโดดลงจากหลังม้า แล้ววิ่งหนีไป ฝ่ายม้ารีบเก็บลูกบอลแล้วปาไปที่ฝ่ายขี่หลังถ้าโดนตัวก็จะต้องเป็นม้าให้เพื่อนขี่หลังแทน 

พอเดือนสี่มาถึง ข้าวในนาเริ่มสุกถึงเวลาต้องเก็บเกี่ยวกัน ที่นาของจุกจึงมีการลงแขกเกี่ยวข้าวกันโดยมีเพื่อนบ้านมาช่วยกันหลายคน จุกช่วยแม่เตรียมอาหารคาวหวานไปเลี้ยงเพื่อนบ้านที่มาช่วยเกี่ยวข้าว หลังจากช่วยพ่อขนเลียงข้าว จุกถอนซังข้าวมาทำปี่เล่นสนุกดีเหมือนกัน ในเดือนสี่นี้ก็จะมีลมว่าวที่พัดมา    เด็ก ๆ จะเล่นว่าวกัน บนท้องฟ้าเกลื่อนกลาดไปด้วยว่าวนานาชนิดสีสวย ๆ เช่น ว่าวนก ว่าวปลา ว่าวควาย และว่าวปักเป้า จุกกับจอมชวนกันออกมาเล่นว่าวที่กลางทุ่งนาเหมือนกัน

บ่ายวันหนึ่งอากาศร้อนอบอ้าว ไม่มีลมพัดมาเลย เด็ก ๆ นั่งกันอยู่บนศาลากำลังคิดกันว่าจะเล่นอะไรกันดี จอมทำท่าครุ่นคิดพักหนึ่ง เหมือนนึกอะไรได้พร้อมบอกเพื่อน ๆ ว่า ไปหาขนไก่มาฉัด (เตะ) กันดีกว่า  เด็ก ๆ ก็วิ่งไปที่เล้าไก่หลังบ้านของจอมไปหาขนไก่ได้มาหลายอัน จุกเลือกขนไก่อันสวย ๆ ขนยังเรียบและแข็งได้ 5-6 อัน มัดที่โคนขนด้วยหนังยาง ให้ปลายขนทั้ง 6 หันออกนอก เมื่อมัดเรียบร้อยแล้วมันจึงเป็น 6 แฉกดูสวยงาม เด็ก ๆ เริ่มเล่นโดยการแข่งขันเตะลูกขนไก่ให้ได้ 300 ครั้ง

บ่ายวันหนึ่งในฤดูแล้ง จุก จอม และเปี๊ยกชวนกันไป ‘ยอนไข่มดแดง’ กัน โดนมดแดงกัดต้องปัดตามตัว แขนขา หลังจากได้ไข่มดแดงมาแล้วก็ต้มไข่มดแดงตัวสีขาวเติมเกลือเล็กน้อยแล้วกินกันอย่างเอร็ดอร่อย 

เด็ก ๆ โห่กันลั่นทันทีที่เห็นรถขายยาเลี้ยวเข้ามาในหมู่บ้าน คืนนี้มีการฉายหนังกลางแปลงที่ลานวัด เด็ก ๆ ดีใจเนื้อเต้นได้ดูหนังกลางแปลงกัน

ในแต่ละวันเด็ก ๆ ก็จะหากิจกรรมมาเล่นกันตลอดเวลา เช่น ‘ยิกจับสีนคอ’ หรือ เกมไล่จับ เป่ากบ ยิงราว ยิงนก โหละปลา หรือ หาปลา เด็ก ๆ ก็สนุกสนานกับกิจกรรมเหล่านี้ เป็นความสุขของเด็ก ๆ ชาวชนบทกัน

อ่านแล้ว ส่งต่อความรู้สึก

ขบวนการนกกางเขน

พระราชนิพนธ์แปลในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เรื่องราวการผจญภัยของเด็ก 8 คนที่ต่างกันทั้งฐานะ เชื้อชาติ บุคลิก และนิสัย ที่มารวมกลุ่มกันได้อย่างไร้ปัญหาภายใต้ชื่อ “ขบวนการนกกางเขน” แสดงให้เห็นความผูกพันและมิตรภาพที่มิได้ขึ้นอยู่กับเชื้อชาติ ภาษา หรือแม้แต่วิถีชีวิตของแต่ละคน

มีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับ เด็ก 8 คนที่รวมตัวกันและเรียกตัวเองว่า ขบวนการนกกางเขน ที่รวมตัวของพวกเขาคือต้นไม้ใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำแซนแห่งนครปารีส โดยมีสัญญาณที่เป็นรหัสที่รู้กันเฉพาะภายในกลุ่มคือการผิวปาก 8 ครั้ง สั้น สั้น ยาว เด็กทั้ง 8 คนนี้มีความแตกต่างกันทั้งทางด้าน ฐานะ สัญชาติ บุคลิกและนิสัยใจคอ แต่พวกเขาก็สามารถเป็นเพื่อนกันได้ พวกเขาได้เริ่มสำรวจห้องใต้ดินในเกาะลิลแซงต์หลุยส์ แต่แล้วพวกเขากลับถูกขังลืมไว้ในนั้น การที่พวกขังถูกขังไว้ในห้องใต้ดินนั้น พวกเขาต้องเผชิญกับเหตุการณ์ระทึกขวัญ ในช่วงเวลาคับขันพวกเขาได้แสดงความรัก มิตรภาพและช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำให้เรื่องราวที่ชวนระทึกขวัญกลายเป็นเรื่องราวที่สนุกสนาน น่าค้นหาเรียนรู้ เมื่อพวกเขาออกมาได้  มิตรภาพและความรักของความเป็นเพื่อนก็กลายเป็นสิ่งที่น่าประทับใจระหว่างพวกเขา 

อ่านแล้ว ส่งต่อความรู้สึก

เด็กชายชาวเล

ภาพที่งดงามของชุมชนชาวประมงฝั่งทะเลอันดามัน ที่ดำรงชีวิตผูกพันกับท้องทะเลด้วยวัฒนธรรม ประเพณี ความเชื่อ วิถีพื้นถิ่น ศาสนา ขนบธรรมเนียมที่พวกเขายึดถือ ผ่านตัวละคร สองเกลอ รอฮีม หมาด รวมถึงเพื่อนพ้อง และเครือญาติ กลิ่นอายผลิตผลจากน้ำเค็ม สื่อสารถ่ายทอดออกมาเป็นเรื่องราว เช้าวันใหม่ จมปู บาดแผล หลุมถ่าน ทำเคย ทะเล เดือนเราะมะฎอน

เค้าโครงจากเรื่องจริงทั้งหมดของเด็กชายวัย 12-13 ปีที่เพิ่งจบจากโรงเรียนตามเกณฑ์บังคับ กับชีวิตที่ดำรงอยู่จริง ต้องเรียนรู้เพื่อปรับตัวสู่ฐานะใหม่ของลูกทะเล แต่การเปลี่ยนแปลงของสังคม เศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม ต้องเปลี่ยนวิถีชีวิตชุมชน พึ่งตนเอง มาเป็นวิธีการผลิต โรงงาน ค่าจ้าง ผลประโยชน์ ทุกสิ่งกลายเป็นสินค้า ความมีน้ำใจเริ่มหดหาย วิถีชีวิตของคนในชุมชนเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมืองและวัฒนธรรม

สุดท้ายรอฮีม ก็ต้องปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของสังคม จากลูกทะเล ไปเป็นคนงานโรงงาน รับค่าจ้างแรงงาน ทำงานที่ไม่ชอบ ไม่รัก ไม่มีเวลาหยุดพัก รอฮีมนึกถึงคำพูดของน้าแบน “คนที่เกิดมากับทะเล ก็ต้องอยู่กับทะเล … แกจะต้องได้ทำสิ่งที่แกรัก”

วรรณกรรมเยาวชนเรื่อง “เด็กชายชาวเล”

     – รางวัลชมเชย ประเภทหนังสือบันเทิงคดีสำหรับเด็กก่อนวัยรุ่น (12-14 ปี) จากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ พ.ศ. 2542

     – รางวัลชมเชยจากคณะกรรมการส่งเสริมและประสานงานเยาวชนแห่งชาติ พ.ศ. 2524

     – 1 ใน 500 เล่ม หนังสือดีสำหรับเด็กและเยาวชน ของสมาพันธ์องค์กรเพื่อพัฒนาหนังสือและการอ่าน

     – 1 ใน 100 เล่ม หนังสือดีที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน ทุนสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย

     – ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ และ ภาษาญี่ปุ่น

     – พนม นันทพฤกษ์ หรือ สถาพร ศรีสัจจัง ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปีพุทธศักราช 2548

อ่านแล้ว ส่งต่อความรู้สึก

เด็กชายมะลิวัลย์

วิถีชีวิต ความเป็นอยู่ ของคนสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุคที่อัตคัดขัดสน ทุกสิ่งหายาก มีราคาแพง ไม่ว่าข้าวของเงินทอง เสื้อผ้า แต่ชุมชนก็อยู่กันอย่างสมานฉันท์ มีความโอบอ้อมอารี มีน้ำใจไมตรีต่อกัน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ยึดมั่นในคุณธรรม บอกเล่าผ่านเรื่องราวของ ‘เด็กชายมะลิวัลย์’ พ่อตั้งชื่อให้ว่า “มะลิ” เพราะตอนเกิดมามีผิวขาวนวล ต่อมาเพื่อนๆ ช่วยต่อสร้อยให้ เป็น “มะลิวัลย์” มะลิป่วยเป็นโรคโปลิโอ แต่ก็มีสภาพจิตใจที่เข้มแข็ง มีครอบครัวที่รักใคร่กลมเกลียวผูกพันกัน 

ผู้แต่งเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงในสังคมยุคนั้น ผสมผสานด้วยความสุข  ความเศร้า ความรัก  ความผูกพัน  และมองเห็นแง่มุมชีวิตในหลากหลายรูปแบบของกรุงเทพฯ เมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน มีการสอดแทรกวรรคทองจากวรรณคดี โคลงโลกนิติ ระเด่นลันได “เด็กชายมะลิวัลย์”แฝงด้วยข้อคิดและข้อปฏิบัติมากมาย โดยเฉพาะการอยู่ร่วมกันในสังคมและการยอมรับสภาพสังคมที่ตนเป็นอยู่

  • หนังสือดีสำหรับเด็กและเยาวชนของสมาพันธ์องค์กรเพื่อพัฒนาหนังสือและการอ่าน พ.ศ. 2541-2542
  • รางวัลดีเด่นประเภทบันเทิงคดีสำหรับเยาวชนก่อนวัยรุ่นในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติประจำปี พ.ศ. 2531
อ่านแล้ว ส่งต่อความรู้สึก

มหกรรมในท้องทุ่ง

“มหกรรมในท้องทุ่ง” เป็นเหมือนบันทึกวิถีชีวิต วัฒนธรรม การละเล่น ของชาวไร่ชาวนาภาคกลาง เช่น ประเพณีการลงแขกเกี่ยวข้าว หนังเร่ การเล่นแม่ศรี มหรสพรื่นเริงต่าง ๆ โลกแห่งความงดงามในวัยเยาว์ ท้องทุ่งอันมีชีวิตและสีสัน กิจกรรมการละเล่น ในแบบชนบท ท้องถิ่นที่อุดมสมบูรณ์ ชีวิตสงบสุข มีน้ำใจไมตรีต่อกัน มีท้องทุ่งกว้างเป็นสนามให้เด็กวิ่งเล่น สนามที่มีครบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเล่นปลากัด  กัดจิ้งหรีด การเล่นว่าว เที่ยวงานวัด สิ่งเหล่านี้เป็นทั้งสนามเด็กเล่นและห้องเรียนธรรมชาติที่สอนให้เด็ก ๆ เติบโตขึ้นมาอย่างแข็งแกร่งทั้งร่างกายและจิตใจ

เรื่องสั้นจบในตอน เชื่อมโยงกันด้วยกิจกรรมการละเล่นของเด็ก ความเป็นชนบทถูกเล่าผ่านตัวละครสองวัย คือเด็กและผู้เฒ่าผู้แก่ สอดแทรกปัญหาสังคมหรือปัญหาการพัฒนาที่กำลังจะมาสู่ชุมชนไว้พอหอมปากหอมคอ 

  • ได้รับรางวับ 
      – 1 ใน 500 เล่ม หนังสือดีสำหรับเด็กและเยาวชน ของสมาพันธ์องค์กรเพื่อพัฒนาหนังสือและการอ่าน

     – 1 ใน 100 เล่ม หนังสือดีที่เด็กและเยาวชนไทยควรอ่าน ทุนสนับสนุนการวิจัยจากสำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย

     – ได้รับการแปลเป็นภาษาอังกฤษ และ ภาษาญี่ปุ่น

     – พนม นันทพฤกษ์ หรือ สถาพร ศรีสัจจัง ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ปีพุทธศักราช 2548

อ่านแล้ว ส่งต่อความรู้สึก

ลูกยางกลางห้วย

“ลูกยางกลางห้วย” เรื่องของเด็ก ๆ ที่ใช้ชีวิตกับธรรมชาติ ชุมชน ป่า เขา จ้อยตัวละครหลักที่ พาผู้อ่านเดินทางไปกับสวนยางพารา ลำห้วยน้ำใส และผืนป่าที่อุดมสมบูรณ์ เที่ยวเล่น สนุกสนานตามประสาเด็ก มีความสุขอยู่กับเพื่อน ๆ ญาติ จ้อยไม่แข็งแรง แต่เรียนเก่ง ผู้เขียนผูกปมของเรื่องให้จ้อยทำงานรับจ้างกรีดยาง สุขภาพแย่ งานหนัก เจอกับปัญหามากมาย แทรกความรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตชาวสวน การทำเหมืองแร่ การเปลี่ยนไปของหมู่บ้าน จากชุมชนไปเป็นสังคมเมือง

เมื่อ “ลูกยางกลางห้วย” อย่างจ้อยตัดสินเลือกสอบเข้าเรียนต่อชั้นมัธยมที่โรงเรียนในตัวเมือง

“ตกลงสอบได้ไหม”

“ได้ แต่ว่า” ประโยคนี้ คนใต้เท่านั้นถึงจะเข้าใจว่าจบประโยคแล้ว

“แล้วเอ็งจะไปเรียนเมื่อไหร่”

จ้อยล้วงลูกยางออกจากกระเป๋ากางเกง ลุงเพิ่มเลือกเอาลูกหนึ่ง ใช้มือรวบสองปีกของลูกยางแล้วเหวี่ยงออกไป …

จ้อยเดินไปกอดลุงเพิ่มเบา ๆ เจ้าลองกองนอนซืมกะทือกลอกตาไปมาตรงโคนเสา ต่อไปลุงเพิ่มกับมันจะอยู่กันเพียงลำพัง

“เอ็งไม่โยนลูกของเอ็งหรอกรึ”

“เก็บไว้ค่อยโยนวันหลังน่ะลุง” 

เขาอยากจะไปเรียนต่อในเมือง…ปีหน้า

  • – Archived 2015-01-09 ที่ เวย์แบ็กแมชชีน (2555) 

    – รางวัลดีเด่น หนังสือสำหรับเด็กวัยรุ่น อายุ 12-18 ปี (บันเทิงคดี) ประจำปี พ.ศ. 2556 จากสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)

    – รางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 ประเภทวรรณกรรมสำหรับเยาวชน เซเว่นบุ๊คอวอร์ด ประจำปี พ.ศ. 2556 

    – คณะกรรมการนานาชาติด้านหนังสือเด็กและเยาวชน (The International Board on Books for Young People: IBBY) ประกาศให้ เป็นหนึ่งในรายชื่อหนังสือเกียรติยศ (Honour Book List) ประจำปี 2557

อ่านแล้ว ส่งต่อความรู้สึก

หมู่บ้านอาบจันทร์

“หมู่บ้านอาบจันทร์” เรื่องเล่าของเด็ก ๆ ความรักระหว่างเพื่อนนุโพ หม่อเงพอ และครอบครัวที่อาศัยอยู่บนดอย จากชีวิตจริงที่มาลา คำจันทร์ เคยเป็นครูสอนเด็กบนดอย วรรณกรรมเยาวชนเรื่องนี้ทำให้เราได้สัมผัสชีวิตที่สงบ ไร้แสงสี ความโดดเดี่ยว กันดาร ความรักระหว่างเพื่อน ความผูกพันระหว่างเด็ก ๆ กับครอบครัว ความรักป่าหวงแหนป่าของชุมชน

วิถีการดำรงชีวิตของชาวปาเกอะยอ มีวัฒนธรรม ภูมิปัญญาพื้นบ้าน การใช้ยาสมุนไพรรักษาโรคแบบดั้งเดิม กฎเกณฑ์ที่เคร่งครัด เรื่องจารีตประเพณี ประเพณีการนับถือผีหลวง บูชาเซ่นไหว้ผีบรรพบุรุษ ที่ถ่ายทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่น

“นุโพ…เมื่อไหร่แกจะกลับ” 

“หม่อเงพอ ข้าไปละนะ”

เมื่อการจากลามาถึง นุโพต้องลงจากดอย ไปเรียนหนังสือ นำความรู้กลับมาพัฒนาหมู่บ้าน ถึงเวลาจากกันชั่วคราว

“เซอะสื่อนา”

  • วรรณกรรมเยาวชนเรื่อง “หมู่บ้านอาบจันทร์”

         – รางวัลดีเด่น บันเทิงคดีสำหรับเด็กก่อนวัยรุ่น จากคณะกรรมการพัฒนาหนังสือแห่งชาติ พุทธศักราช 2523

         – มาลา คำจันทร์ หรือ เจริญ มาลาโรจน์  ศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ พุทธศักราช 2556

อ่านแล้ว ส่งต่อความรู้สึก

บ้านเล็กในป่าใหญ่

อ่านแล้ว ส่งต่อความรู้สึก

เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก

เมื่อคุณตาคุณยายยังเด็ก เป็นเรื่องราวที่ย้อนกลับไปเมื่อสมัยรัชกาลที่ 6 – 7 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ผู้เขียนได้นำเรื่องราวชีวิตครอบครัวคนไทยสมัยที่คุณตาคุณยายเป็นเด็กมาเล่าให้ฟังโดยถ่ายทอดเป็นภาษาง่ายๆ หากแต่บรรยายให้เห็นภาพได้อย่างชัดเจน ซึ่งในปัจจุบันเหตุการณ์บางอย่างหรือสิ่งของหลายสิ่งก็ได้เริ่มจางหายไปจากสังคมไทยแล้ว
ส่วนหนึ่งของหนังสือเล่าว่า เมื่อครั้งคุณตาคุณยายยังเด็ก เมื่อฝนตก เด็กๆ จะเล่นน้ำฝนกันอย่างสนุกสนานพร้อมกับขัดบ้านไปด้วย ฝนที่ตกลงมายังรองไว้ใช้ ไว้ดื่มได้อีก คุณตาคุณยายเล่าว่าคนสมัยนั้นนิยมดื่มน้ำฝนกันมาก เพราะสะอาดและหวาน หรือสมัยคุณตาคุณยายเป็นเด็กนั้น จะไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปซื้อขนมนอกบ้าน และไม่ได้มีร้านอาหารมากมายอย่างทุกวันนี้ แต่ก็ไม่อดอยาก เพราะพ่อค้าแม่ค้าเร่จะหาบของกินมาขายถึงที่บ้านทีเดียว ซึ่งจะเห็นว่าหลายสิ่งได้เปลี่ยนไปแล้วในปัจจุบัน ()

  • ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน วรรณกรรม 50 เรื่องที่ต้องอ่านก่อนโตของ สสส. 

อ่านแล้ว ส่งต่อความรู้สึก

รายการอ้างอิง

รัญจวน อินทรกำแหง. (2524). วรรณกรรมสำหรับเด็กและวัยรุ่น. กรุงเทพฯ: มหาวทยาลัยรามคำแหง.

รัถพร ซังธาดา. (2531). หนังสือสำหรับเด็ก. มหาสารคาม: มหาวิทยาลัยศรีนครนทรวิโรฒ.

Content Creator Team

Facebook Comments

facebook comments

Back To Top