นายแพทย์บัญชา พงษ์พานิช : ผู้ร่วมสร้างมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และเป็นพนักงานคนแรกของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
นายแพทย์บัญชา พงษ์พานิช หรือที่เราเรียกกันว่า คุณหมอ หรืออาจารย์หมอของนักศึกษา เป็นผู้มีส่วนร่วมหลักอีกคนหนึ่งในการก่อร่างสร้างมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ขึ้นมา ตั้งแต่ปี 2535-2544 ในช่วง 10 ปีแรกในการก่อตั้งมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์แห่งนี้ เมื่อวันเวลาผ่านไป 30 ปีของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ท่านมีมุมมอง มีแนวคิด และมีข้อคิดเห็นต่อการเติบโตและการก้าวเดินของมหาวิทยาลัยแห่งนี้อย่างไร
นายแพทย์บัญชา พงษ์พานิช หรือที่เราเรียกกันว่า คุณหมอ หรืออาจารย์หมอของนักศึกษาที่มีคุณหมอดูและใกล้ชิดในช่วง 4 ปีแรกของการรับนักศึกษา เป็นผู้มีส่วนในการสร้างมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ตั้งแต่ปี 2535-2544 ในช่วง 10 ปีแรกในการก่อตั้งมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์แห่งนี้
- อดีตรองอธิการบดีฝ่ายปฏิบัติการ ดำรงตำแหน่งตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2535 – 31 ธันวาคม พ.ศ. 2544
- อดีตกรรมการสภามหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ผู้ทรงคุณวุฒิ
- เป็นผู้ที่ได้รับการบรรจุแต่งตั้งเป็นพนักงานสายวิชาการคนแรกของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ในตำแหน่งอาจารย์ โดยได้รับการบรรจุแต่งตั้งเป็นอาจารย์ สังกัดสำนักวิชาวิทยาศาสตร์สุขภาพ (ปัจจุบันคือสำนักวิชาสหเวชศาสตร์ และสำนักวิชาสาธารณสุขศาสตร์) เริ่มปฏิบัติงานวันแรกเมื่อวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2535 – 31 ธันวาคม พ.ศ. 2544

รักวลัยลักษณ์
ฝากใจ วลัยลักษณ์รักแน่แท้ ติดตรึงทราบซึ้งดวงแด มีแต่ความรักเกลียวกลม
ฝากรัก รักวลัยลักษณ์ไม่รู้สิ้น ฝากดิน รักวลัยลักษณ์รินรื่นรมย์
ฝากใจ วลัยลักษณ์รักชื่นชม ฝากเดือนฝากดาวชั้นพรหม ห่มใจให้อุ่นนิรันดร์
*ร่มเย็นเห็นอยู่ประดู่ร่มใจ ชูช่อดอกใบเพลินใจทุกคืนทุกวัน
สีแสด-ม่วง ฝังใจในห้วงผูกพัน จอภอพระเกียรติคู่กัน ดั่งมิ่งขวัญเพริศพราย
ฝากรัก รักวลัยลักษณ์เลอค่า ฝากฟ้า รักวลัยลักษณ์ไม่กลับกลาย
ฝากใจ วลัยลักษณ์รักไม่คลาย ฝากรอย ประทับในใจ วลัยลักษณ์รักเหลือเกิน
จากใจนายแพทย์บัญชา พงษ์พานิช กับมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์
ผมรู้สึกว่าด้วยความรู้สึกที่รู้สึกมีและยังคงมีอยู่ ความรักจะอยู่กับความผูกพัน เมื่อนึกถึงมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์แล้ว ผมมี 4-5 ประเด็นที่รู้สึกผูกพัน

ประเด็นที่หนึ่ง มหาวิทยาลัยแห่งนี้เกิดขึ้นจากองค์ประกอบพร้อม 2 – 3 อย่าง คือ รัฐหรือประเทศมีแผน ที่จะกระจายการศึกษาระดับสูงไปสู่ภูมิภาคมากขึ้นจากเดิมที่มีภาคละหนึ่งที่เป็นมหาวิทยาลัยหลัก และต้องการจะให้มีอีกสักแห่งที่เป็นแบรนด์นิว คือมหาวิทยาลัยวลัยลัยลักษณ์ ถือว่าเป็นไปตามแผน

คนนครศรีธรรมราชมีความปรารถนา และต้องการมองว่าองค์กรวิชาการจะเป็นองคาพยพสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนา มาหนุนเสริมและการบริหารจัดการการ ความรู้การเกษตร การประกอบอาชีพ ดังนั้นท้องถิ่นต้องการส่วนนี้ด้วย


ประการที่สาม ในยุคที่เกิดมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ มีมิติของการบริหารจัดการที่ต้องปรับเปลี่ยน ประเทศไทยเกิดระบบความคิดใหม่ที่เรียกว่าเป็นมหาวิทยาลัยที่ไม่ใช่ส่วนราชการ มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์เป็นรูปแบบนั้น ในวันนี้ที่ผ่านมา 30 ปีเท่าที่ติดตามเท่าที่รับฟัง จนถึง ณ วันนี้มหาวิทยาลัยมีความก้าวหน้า เช่น ข้อมูล Ranking รวมทั้งด้านงานวิจัย ด้านบริการวิชาการ ด้านสุขภาพ และด้านการเรียนการสอน ผมคิดว่ามหาวิทยาลัยได้ก้าวมาสู่อีกจังหวะหนึ่งของการที่จะก้าวต่อไป ความคิดถึงในฐานะที่เคยเรียนและเคยอยู่ และที่สำคัญสำหรับผม คือในช่วง 10 ปีแรกผมเข้าไปร่วมสร้างมหาวิทยาลัยด้วย ท่านอาจารย์วิจิตร ศรีสอ้าน ท่านเดินทางมายังนครศรีธรรมราช และผมได้รับการแต่งตั้งจากท่านนายกรัฐมนตรีอานันท์ ปันยารชุนเข้าไปเป็นกรรมการกับท่านอาจารย์วิจิตร ศรีสอ้าน ในเรื่องการพัฒนานักศึกษา ท่านบอกว่ามาช่วยกันมั๊ย ผมก็เลยเข้ามาร่วมด้วย และในฐานะผู้ร่วมสร้าง ผมมีอีก 2-3 ประเด็น

10 ปีแรกที่อยู่ที่มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ร่วมกับประชาคมชาวมหาวิทยาลัย ซึ่ง ณ วันนั้น จะประกอบไปด้วย 4- 5 ส่วน คือ
- คณะเจ้าหน้าที่และคณาจารย์
- ฝ่ายบริหาร และคณะกรรมการชุดต่าง ๆ ที่เข้ามาช่วยมหาวิทยาลัย
- ผมใช้คำว่าชาวนครศรีธรรมราชทั้งมวลที่เกี่ยวเนื่อง รวมทั้งชาวบ้านที่ในถิ่นที่ตั้งของมหาวิทยาลัย

ในช่วงนั้น มีการขับเคลื่อนในการร่วมมือที่น่าสนใจ ช่วงนั้นผมไม่แน่ใจว่าถึงวันนี้คติเหล่านี้ จะยังมีการใช้อยู่หรือไม่ เช่น มหาวิทยาลัยนี้นะครับจะเป็น “ประภาคารแห่งปัญญา” ผมว่าคำนี้เพราะมากเลย
“ประภาคารแห่งปัญญา คือเป็น lighthouse เป็นหอคอยที่จะสาดแสงแห่งความรู้สู่ผู้คน“
ที่ใช้คำว่าเป็นหลักในถิ่น แล้วก็เป็นเลิศสู่สากล คำนี้เป็นคำที่เพราะมาก แล้วคำนี้มาจากไหน ไม่ใช่มาจากใครคนใดคนหนึ่งเป็นผู้เขียนและเป็นคนกำหนด แต่มาจากการช่วยกัน ช่วยกันคิด ช่วยกันแต่ง แล้วก็ช่วยกันปรับ เรามีผู้รู้เรื่องของภาษามาช่วยเติมให้ไพเราะ เป็นประภาคารแห่งปัญญา เป็นหลักในถิ่นแล้วก็เป็นเลิศสู่สากล การเป็นหลักในถิ่นเป็นได้ในระดับที่ไม่น้อยเลย เช่น เรื่องธนาคารปูม้า และอื่น ๆ
อีกคำหนึ่ง ต้องยกให้ท่านศาสตราจารย์ ดร.วิจิตร ศรีสอ้าน ซึ่งเป็นเรียกว่าเป็นผู้ก่อตั้งนะครับ แล้วผมจะเข้าไปช่วยกัน เข้าใจว่า บัณฑิตของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ท่านใช้คำว่าจะเป็น “ผู้เรืองปัญญา” คำว่า เรืองปัญญา คือรู้ รู้แล้วก็สามารถเอามาใช้ได้ จะมีชุดคำที่ผมคิดถึงวลัยลักษณ์ คือ
ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่ผมครุ่นคิด และระลึกถึงมหาวิทยาลัยที่ตัวเองเคยปลุกปล้ำเมื่อสิบปีแรก
ก่อนที่จะแสดงความยินดีนะครับต่อมหาวิทยาลัย ผมคิดว่าตามที่กล่าวมาแล้วมหาวิทยาลัยแห่งนี้เกิดขึ้นจากเจตจำนงของรัฐ ของประชาชน และประชาคมและผู้คนชุมชนท้องถิ่น รวมทั้งผู้ปกครองที่ส่งลูกส่งหลานมาเรียนด้วยความไว้วางใจ
ความยินดีที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ก็คือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องมีความยินดีด้วย สำหรับผมขอแสดงความยินดีเมื่อได้ข่าวว่ามีความสำเร็จ และได้ยินว่าปัญหาอุปสรรคหรือข้อแย้งต่าง ๆ คลี่คลายและผ่านไปด้วยดี สำหรับมหาวิทยาลัยแห่งนี้ ผมยินดีมากนะครับหากว่าพันธกิจทั้ง 4 ประการที่มหาวิทยาลัยได้ย้ำไว้ประสบความสำเร็จครบองค์
ความเป็นเลิศ การสอน การทำนุบำรุงศิลปวัฒนธรรม และการเป็นหลักในการช่วยพัฒนาท้องถิ่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งผมคิดว่ามหาวิทยาลัยมาตั้งอยู่นครศรีธรรมราช เรียนแล้วว่ามหาวิทยาลัยนี้ไม่ได้เกิดแบบมาจากข้างบน แต่เกิดจากความต้องการของชาวบ้าน ชาวบ้านได้ร่วมกันไม่เพียงแค่การรณรงค์ในการทำยังไงให้ที่ตั้งของมหาลัยลุล่วงปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ต้องทราบนะครับว่ากำนัน “ผู้ใหญ่บ้าน และชาวบ้านท่าศาลาทุ่มเทกันเหลือเกิน ตอนที่เราไปทำงานกันนะครับ แล้วก็สละยอมย้ายบ้านย้ายเรือนกันเพื่อให้ตั้งมหาวิทยาลัยขึ้น หรือแม้กระทั่งชาวเมืองนครก็เข้ามาช่วยกันอย่างเต็มที่
ผมเองเป็นแค่คนกลางที่เชื่อมโยงทั้งทุกองคาพยพของเมืองนี้ แม้กระทั่งบ้านผมเอง พ่อ แม่ น้า พี่ น้อง ขาดเหลืออะไร เราหาเงินให้มหาวิทยาลัยเพื่อที่จะทำจนสำเร็จ เพราะฉะนั้นความยินดีที่ผมอยากแสดงก็คือ
ตั้งมั่นในระดับวิชาการที่ดี ระบบแข็งแรงแล้ว มาเติมอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องของการเป็นหลักในถิ่น
มีความยินดีที่จะมีกับมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ในฐานะที่ได้ขับเคลื่อนมาถึงระดับนี้ ผมคิดว่าจากนี้ไปนอกเหนือจากเรื่องของชุมชน ท้องถิ่น แล้วก็นำความรู้ไปให้กับชาวบ้านและจะประสบความสำเร็จในเรื่องของงานวิชาการแล้ว อีกเรื่องนึงที่ท้าทายมากก็คืออนาคตของการศึกษาไทย การศึกษาโลกเปลี่ยนใหญ่ มหาวิทยาลัยจะปรับตัวอย่างไรกับต่อการเปลี่ยนผ่านจังหวะใหญ่ ๆ นี้ รวมทั้งมีโควิดเข้ามาด้วย นักศึกษาผมเชื่อว่าเปลี่ยนหมด การเรียนรู้ต้องปรับปรุงกันครั้งใหญ่ แล้วก็ผู้ที่จะเป็นแหล่งการบริหารจัดการและเอื้อให้เกิดการเรียนรู้ชั้นสูง อย่างเช่น วลัยลักษณ์ต้องปรับเยอะมาก ถามว่าจะปรับยังไง
ผมจะยินดีมากเลยหากมหาวิทยาลัยที่มีความพร้อม มีความสมบูรณ์ในระดับหนึ่งแล้วในขณะนี้ แล้วก้าวข้ามการเปลี่ยนผ่านรอบนี้ได้ ซึ่งเชื่อว่าทุกท่านรู้อยู่แก่ใจว่าเปลี่ยนใหญ่แน่
อีก 10 ปีข้างหน้าจะยากยิ่งขึ้นกว่า 30 ปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน แล้วก็ไม่ใช่เพียงแค่การจัดการศึกษา จริง ๆ แล้วความเชื่อมโยงกับสังคมซึ่งมีทั้ง local มีทั้ง global มีทั้ง virtual มีทั้งจับต้องได้ มีทั้งจับต้องกับจับต้องไม่ได้ ผมคิดว่าต้องปรับใหญ่ คงจะมีความยินดียิ่งที่จังหวะ 30 ปีนี้ไม่ได้มาแค่ยินดีที่เราสำเร็จ แต่เป็นจังหวะที่เรายินดีแล้วเอาความสำเร็จที่มีอยู่ ณ วันนี้ ก้าวต่อไปสำเร็จยิ่งขึ้น แล้วอาจจะไม่ได้คุยกันแค่ 30 ปีแล้ว แต่ต้องคุยกัน 3 ปี 5 ปี
นี่คือจากใจของนายแพทย์บัญชา พงษ์พานิช อดีตผู้ร่วมสร้าง ร่วมก่อตั้งมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จากใจของผู้ที่มีความรัก ความผูกพันกับมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ และมีมุมมอง ข้อเสนอแนะที่มีคุณค่าต่อใจ ต่อการเติบโตก้าวหน้ามหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ต่อไปในอนาคตข้างหน้าอย่างมุ่งมั่น
วิดีโอสัมภาษณ์ นายแพทย์บัญชา พงษ์พานิช เนื่องในโอกาสครบรอบสถาปนามหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ ครบปีที่ 30
Facebook Comments
No related posts found