Skip to content

เรื่องราวของภูมิคุ้มกัน

เรื่องราวของภูมิคุ้มกัน

เรื่องราวของภูมิคุ้มกัน ในหนังสือเล่มนี้ได้รวบรวมเคล็ดลับสำหรับการเสริมภูมิต้านทานหลากหลายวิธี หรือหากจะพูดให้เข้าใจง่าย ๆ คือการทำให้สุขภาพแข็งแรงขี้น เป็นการยกระดับสุขภาพให้ดีขึ้นด้วย เพียงแค่จดจำให้ได้ คือ “การสร้างวินัยเพื่อยกระดับ สุขภาพที่ดี” เพื่อให้คนนำไปใช้ในชีวิตประจำวันและทำให้เป็นนิสัย จะทำให้สุขภาพแข็งแรงและช่วยสร้างภูมิต้านทานให้สูงขึ้นอีกด้วย

การเสริมภูมิต้านทาน คือการทำให้ร่างกายแข็งแรงขึ้น

รายละเอียดหนังสือ
ชื่อเรื่อง:
เรื่องราวของภูมิคุ้มกัน

ผู้เรียบเรียง : อิชิฮาระ นีนะ

ผู้แปล : นิพดา เขียวอุไร

ISBN : 978-6161405540

ปีที่พิมพ์ : 2567

หนังสือเล่มนี้  นำเสนอเนื้อหาเป็นบทสั้น ๆ ผู้เขียนได้พูดถึงวิธีการเสริมภูมิต้านทานให้กับร่างกาย ทั้งวิธีการใช้ชีวิตประจำวัน อาหารการกิน และการออกกำลังกาย ภายในเล่ม มีข้อความพร้อมภาพประกอบ เป็นภาพการ์ตูน อธิบายให้เข้าใจได้ง่ายๆ มี ประกอบด้วย 3 ตอน ได้แก่ ตอน 1 สุดยอด 5 ทางเลือก ช่วยเสริมภูมิต้านทาน ทำได้ทันทีที่บ้าน — ตอน 2 กินอย่างไรจึงจะเพิ่มภูมิต้านทาน และตอน 3 นิสัยการใช้ชีวิตประจำวันและการออกกำลังกาย ที่จะช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน

สิ่งที่เรียกว่าภูมิคุ้มกันคืออะไรกันนะ

ร่างกายเรามีระบบที่ปกป้องร่างกายจากศัตรูภายนอก ซีึ่งได้แก่ ฝุ่น ไวรัส หรือแบคทีเรีย แทบจะตลอดเวลาและจำนวนมาก ระบบนี้เราเรียกว่า ภูมิคุ้มกัน ระบบการทำงานที่ว่านี้จะมีผิวหนังหรือเย่ื่อเมือกทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมบุกรุกเข้ามาในร่างกาย กรณีที่เล็ดลอดออกมาได้ เม็ดเลือดขาวจะกำจัดสิ่งแปลกปลอมนั้นออกไป โดยระบบภูมิคุ้มกัน จะมีระบบ 2 ระดับ คือ ภูมิคุ้มกันโดยธรรมชาติที่ติดมาแต่กำเนิด ก็คือผิวหนังและเมือกต่าง ๆ  และภูมิคุ้มกันแบบจำเพาะที่เกิดขึ้นหลังจากได้รับสิ่งแปลกปลอม ด้วยการสร้างแอนติบอดีเพื่อทำลายเชื้อโรคที่บุกรุก เรามาทำความรู้จักกับภูมิคุ้มกัน กันต่อค่ะ

หัวใจสำคัญของภูมิคุ้มกัน ระบบการทำงานที่ว่านี้จะมีผิวหนังหรือเย่ื่อเมือกทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมบุกรุกเข้ามาในร่างกาย กรณีที่เล็ดลอดออกมาได้ เม็ดเลือดขาวจะกำจัดสิ่งแปลกปลอมนั้นออกไป จึงพูดได้ว่าเม็ดเลือดขาว คือปราการด่านสุดท้ายและนับเป็นหัวใจหลักของภูมิคุ้มกันอย่างแท้จริง มาทำความรู้จักกับ ภูมิคุ้มกัน กันต่อค่ะ

สุดยอด 5 ทางเลือก ช่วยเสริมภูมิต้านทาน ทำได้ทันทีที่บ้าน

  • ทางเลือกที่ 1 ใช้เวลาสบาย ๆ — การให้ร่างกายได้พักผ่อน ช่วยให้มีสุขภาพดี สิ่งที่สำคัญที่สุดคือควรให้ร่างกายได้พักผ่อนอยางเพียงพอ เพราะหากมัวแต่ทำตัวยุ่ง การทำงานของเซลล์ภูมิคุ้มกันจะตกลง คนที่เกียจคร้านได้ในระดับที่พอดี จะทำให้ร่างกายและจิตใจสดชื่น จึงช่วยทำให้ภูมิต้านทานเพิ่มสูงขึ้น
  • ทางเลือกที่ 2 ปล่อยให้ท้องว่าง  — ไม่มีความจำเป็นต้องกินอาหารให้ครบทั้ง 3 มื้อ เพราะเซลล์ภูมิคุ้มกัน ที่เรียกว่าเม็ดเลือดขาวจะเคลื่อนที่ได้ไม่ว่องไวในสภาวะท้องอิ่ม ตรงกันข้าม ยิ่งท้องหิวจะยิ่งมีพลังมากขึ้น ดังนั้นการกินอาหารเมื่อถึงเวลา แม้ว่าท้องไม่หิว เป็นสิ่งไม่ดี แต่วิธีการกินอาหารที่สุขภาพดีนั้น คือการเงี่ยหูฟังร่างกาย ด้วยการไม่กินอะไรจะกว่าจะรู้สึกหิวเป็นเรื่องสำคัญ
  • แช่นำ้ร้อนที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10 นาที — การเลือกว่าจะแช่โอฟุโระหรือจะอาบน้ำฝักบัวนั้นมีประโยชน์ แต่หากแช่น้ำร้อนขึ้นไปจนถึงลำคอในอุณหภูมิสูงเกิน 42 องศาเซลเซียส จะสร้างปัญหาให้กับหัวใจและหลอดเลือด โดยเฉพาะคนที่มีความดันสูงควรระวัง ดังนั้นควรแช่ไม่เกิน 40 องศาเซลเซียส เป็นเวลา 10 นาที ส่วนตอนกลางคืน ให้แช่น้ำร้อนที่อุ่นลงมาหน่อย จะข่วยผ่อนคลายร่างกายได้
  • นอน 7 ชั่วโมง — การนอนหลับช่วยสร้างความกระปรี้กระเปร่าให้เซลล์ภูมิคุ้มกัน และจากการสำรวจพบว่า คนที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงในแต่ละวัน จะเป็นหวัดง่ายกว่าคนที่นอนมากกว่า 7 ชั่วโมง ถึง 4.2 เท่า และการมีเวลานอนสั้น ระบบประสาทอัตโนมัติจะแปรปรวนและส่งผลกระทบเชิงลบต่อระบบภูมิคุ้มกันด้วย แต่การนอนมากเกินไปจะทำให้ะรบบประสาทอัตโนมัติแปรปรวนและภูมิคุัมกันตกได้เช่นเดียวกัน
  • ดื่มชาขิง — ขิงช่วยร่างกายอบอุ่นและเลือดไหลเวียนดี เพราะสารประกอบในขิงที่สร้างความผิดที่ชื่อว่า “Gingerol” ช่วยขยายหลอดเลือดส่วนปลาย ส่งผลให้เลือดไหลเวียนดีขึ้นและเมื่ออัตราการเผาผลาญพื้นฐานดี จะช่วยให้ร่างกายอบอุ่นขึ้นด้วย 
  • ฯลฯ

กินอย่างไรจึงจะเพิ่มภูมิต้านทาน

  • ระวังไม่ให้อุณหภูมิร่างกายลดลงมากเกินไป โดยเฉพาะช่วงหน้าร้อน เพราะถ้าร่างกายเย็น ภูมิต้านทานลดลง — ร่างกายคนเราจะทำงานได้ดีที่สุดในช่วงอุณหภูมิ 36.5 ถึง 37 องศาเซลเซียส และบางครั้งการดื่มเครื่องดื่มเย็นหรือน้ำเย็น จะทำให้อุณหภูมิร่างกายลดลงไปด้วย 
  • การกินอาหารจนอิ่ม จะส่งผลในทางที่ไม่ดีต่อร่างกาย — ทางที่ดีควรกินอาหารแค่ 8 ส่วนของกระเพาะ หากเรากินอาหารจนอิ่มอย่างต่อเนื่อง จะทำปริมาณในน้ำตาลในเลือดจะสูงขึ้น และมีความเสี่ยงจะทำให้เกิดโรคเบาหวานด้วย ดังนั้น จึงควรเว้นระยะห่างระหว่างมื้อแต่ละมื้อมากกว่า 5 ชั่วโมง 
  • ยิ่งเคี้ยวมากเท่าไร ภูมิต้านทานยิ่งดีขึ้น — เพราะการกินแบบรีบ ๆ จะมีแต่ผลเสีย เพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคอ้วนหรือเบาหวานแล้ว จะทำให้ภูมิต้านทานตกไป นอกจากนี่้เวลาเคีั้ยวอาหารจะมีน้ำลายหลั่งออกมา เอนไซม์เพอร์ออกซิเจนที่อยู่ในน้ำลายมีฤทธิ์ในการต้านทานสารก่อมะเร็ง ดังนั้นเวลากินควรเคี้ยวให้ละเอียด จะทำให้การย่อยและดูดซึมอาหารดีขึ้น และช่วยให้ภูมิต้านทานสูงขึ้น
  • ขิงช่วยเพิ่มภูมิต้านทานได้อยดเยี่ยมที่สุด — การนำขิงไปผ่านความร้อนจะมีสารออกฤทธิ์ทางยาเพิ่มขึ้ัน 10 เท่า การกินขิงมีหลากหลายวิธีที่ดีต่อร่างกาย เช่น กินทั้งเปลืิอก หากนำขิงไปฝนหรือขูดควรกินภายใน 3 นาที เพรระสารออกฤทธิ์ในขิงได้ผลดี หรือจะนำไปผ่านความร้อนแล้วทำให้แห้งก็ได้
  • ลดน้ำตาลเพื่อช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน — อาหารที่มีน้ำตาลสูงจะทำให้ค่าน้ำตาลในเลือดสูงขึันด้วย ดังนั้นพยายามหลีกเลี่ยงอาหารที่มีน้ำตาลสูง และการอดอหารระยะสั้นเฉพาะมื้อเช้าจะเป็นประโยชน์ โดยตอนเช้าอาจจะดื่มน้ำแครอตผสมแอปเปิล ตอนกลางวันควรกินอาหารในปริมาณน้อย และตอนเย็นกินอะไรก็ได้ตามใจชอบ
  • อาหารว่างชั้นยอด 5 ชนิดที่ช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน — ถ้ายังอยากจะกินอาหารว่าง ของให้เลือกสิ่งนี้ 5 ชนืด คือ ถั่วชนิดต่าง ๆ  (ไม่ใส่เกลือ) โยเกิร์ต ดาร์กช็อกโกแลต เครืื่องดื่มที่มีแล็กโทบาซิลลัส ผักอบกรอบ 

หนังสือ เรื่องราวของภูมิคุ้มกัน ทั้ง 3 บท และ 5 ทางเลือกในบทที่ 1 จะเห็นได้ว่า จริง ๆ แล้วการปฏิบัติตนในชีวิตประจำวัน คือการเสริมภูมต้านให้อยู่แล้ว การดูแลสุขภาพให้แข็งแรงนั้น สามารถปฏิบัติตนได้อย่างไร เมื่อสุขภาพแข็งแรง มีภูมิต้านทานที่ดี ก็จะไม่เกิดโรคหรือติดเชื้อโรคได้ง่ายๆ ลองอ่านและปฏิบัติตามเคล็ดลับในหนังสือเล่มนี้ แล้วมาดูกันว่า จะเพิ่มระบบภูมิคุ้มกันให้เราได้หรือไม่ อ่านกันค่ะ หากอยากรู้ทั้งหมดที่จะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันได้

นิสัยการใช้ชีวิตประจำวันและการออกกำลังกาย ที่จะช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน

  • การออกกำล้งกายยกไหล่ขึ้น-ลงเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุด — ถ้ากล้ามเนื้อหดตัวจะทำให้ภูมิต้านทานลดลงจริงหรือ? อาจจะทำได้ขณะทั้งที่นั่ง การเคลื่อนไหวช่วงบนของร่างกาย ซึ่งเน้นที่ลำคอและไหล่ 
  • แค่ทำความสะอาดบ้านก็ช่วยเพิ่มภูมิต้านทานได้ — ใช้การทำความสะอาดบ้านแต่ละวันให้เป็นช่วงเวลาแห่งการออกกำลังกาย โดยเฉพาะการใช้ผ้าขี้ริ้วถูพื้น นับเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ใช้ทุกส่วนของร่างกาย แถมมีระดับการใช้แรงในการออกกำลังกายมากกว่าการเดินอยู่มาก อาจจะเทียบเท่าการพายเรือแคนูเลยทีเดียว
  • นั่งอยู่กับที่นานนานไม่ดี ขอให้ยืนและเปลี่ยนบรรยากาศบ้าง — คนญี่ปุ่นอาจจะเป็นคนที่นั่งนานที่สุดในโลก  ประมาณ 7 ชั่วโมง ถือว่านานที่สุด แต่จริง ๆ แล้ว คนที่ใช้เวลาไปกับการนั่งมากกว่า 6 ชั่วโมงใน 1 วัน มีความเสี่ยงที่จะเสียชีวิตสูงกว่าคนที่นั่งไม่ถึง 3 ชั่วโมงต่อวัน ถึง 20 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งถือว่าน่ากลัว เพราะการไม่ขยับเขยื้อนร่างกายคือการไหลเวียนของเลือดแย่ลงได้
  • การออกกำลังแบบเดินเร็วจะช่วยเพิ่มภูมิต้านทาน — ขอแนะนำให้เดินออกกำลังกายด้วยหลัก 4 ประการ คือ เดินด้วยแรงกระตุ้นที่พอเหมาะ จะช่วยให้กล้ามเนื้อที่มีกำลังมากขึ้น การไหลเวียนของเลือดทั่วทั้งร่างกายดีขึ้น และระบบหัวใจและปอดแข็งแรงขึ้น ลดน้ำหนักแบบสุขภาพดี และลดความเสี่ยงการเป็นโรคความจำเสื่อม  
  • ฯลฯ

รายละเอียดการหาอ่านและยืมหนังสือของสมาชิกวลัยลักษณ์

เล่มหนังสือ

ชื่อเรื่อง : เรื่องราวของภูมิคุ้มกัน Barcode : 1011765915 Call Number : QW540 ร82 2567 Collection : Health Sciences Collection

ชวนอ่าน (July 19, 2025) เรื่องราวของภูมิคุ้มกัน. Retrieved from https://library.wu.ac.th/content/immunity/.
"เรื่องราวของภูมิคุ้มกัน." ชวนอ่าน - July 19, 2025, https://library.wu.ac.th/content/immunity/
ชวนอ่าน May 10, 2568 เรื่องราวของภูมิคุ้มกัน., viewed July 19, 2025,<https://library.wu.ac.th/content/immunity/>
ชวนอ่าน - เรื่องราวของภูมิคุ้มกัน. [Internet]. [Accessed July 19, 2025]. Available from: https://library.wu.ac.th/content/immunity/
"เรื่องราวของภูมิคุ้มกัน." ชวนอ่าน - Accessed July 19, 2025. https://library.wu.ac.th/content/immunity/
"เรื่องราวของภูมิคุ้มกัน." ชวนอ่าน [Online]. Available: https://library.wu.ac.th/content/immunity/. [Accessed: July 19, 2025]

หนังสือชุด ซีรีส์สนุกจนตาสว่าง

Facebook Comments

facebook comments